การตรวจสุขภาพก่อนสมรส

หนังสือความรู้ก่อนสมรสนอ ได้จัดทำโดยคณาจารย์หน่วยอนามัยการเจริญพันธุ์และงานวางแผนครอบครัว ภาควิชาสูติศาสตร์นรีเวชวิทยา อาจารย์หน่วยโลหิตวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ และอาจารย์ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล

การคุมกำเนิด

การคุมกำเนิด หมายถึง การป้องกันการเกิดหรือการปฏิสนธิ หรือการตั้งครรภ์ สรุปคือ ป้องกันหรือไม่ให้อสุจิในน้ำเชื้อของฝ่ายชายมีโอกาสเข้าไปผสมกับไข่ของฝ่ายหญิงภายในปีกมดลูก และป้องกันไข่ที่ผสมแล้วฝังตัวที่เยื่อบุโพรงมดลูก

เพศศึกษา

เพศสัมพันธ์ เป็นสิ่่งที่เกิดขึ้น เมื่อหญิงและชายมีความรักผูกพัน อยากอยู่ใกล้กันและกันและอยากสัมผัสกัน ความรู้สึกทางเพศเกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ ยกเว้นหญิงและชายนั้นอายุมากจริงๆก็อาจไม่มีความต้องการทางเพศ

การตั้งครรภ์

การตั้งครรภ์ คือ ช่วงระยะเวลาเริ่มหลังจากการปฏิสนธิ โดยที่ตัวอสุจิ (sperm) ผสม (conceive) กับ ไข่ (egg)ในสภาวะและเวลาที่เหมาะสม จนถึงการคลอด โดยในมนุษย์ใช้เวลาในการตั้งครรภ์ 36 สัปดาห์ หรือ 9 เดือน

สุขภาพ

สุขภาพกายและสุขภาพจิตเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นสำหรับทุกชีวิตการที่จะดำรงชีวิตอยู่อย่างปกติก็คือ การทำให้ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ จิตใจมีความสุข ความพอใจ ...

วันอังคารที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

โครงการอบรมความรู้ก่อนสมรส



โทร.สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 
หน่วยวางแผนครอบครัว
ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา
โรงพยาบาลศิริราช
คุณสริญญา สุขะมงคล
คุณกรรณิการ์ เชิดชูงาม
02-4194736-7
02-4113011



วันเสาร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2556

อาหารที่มีโฟเลตสูง







แหล่งที่พบกรดโฟลิกตามธรรมชาติ ได้แก่

1
กลุ่มผักและผลิตภัณฑ์แปรรูปผัก
ผักใบเขียว ต่างๆ ผักป้วยเล้ง ผักคะน้า ผักโขม ผักกาดหางหงส์หน่อไม้ฝรั่ง กระหล่ำดอก กระหล่ำปลี บร็อคโคลี่ แครอท
ฟักทอง ผักกาดดอง ( ผักกาดขาวเป็นผักที่สำคัญชนิดหนึ่งของหญิงมีครรภ์ เพราะการที่เป็นผักที่มีโฟเลตสูง จึงส่งผลดีต่อลูกในครรภ์ของคุณ เพราะโฟเลตจะช่วยสร้างความสมบูรณ์ให้กับเม็ดเลือดแดง และ DNA ของลูก จึงทำให้เด็กแข็งแรงไม่ผิดปกติ)

2
กลุ่มผลไม้และผลิตภัณฑ์แปรรูปผลไม้
สับปะรด กล้วย ส้ม ส้มโชกุน สับปะรดศรีราชา ฝรั่งแป้นสีทอง  มะละกอ มะเขือเทศ แคนตาลูบ มันเทศ แอพริคอต อะโวคาโด แยมสับปะรด (ผลไม้ที่ให้ค่าโฟเลตได้สูงสุดคือสัปปะรดศรีราชา 300.54 ไมโครกรัม / 100 กรัม )

3
กลุ่มธัญพืชและผลิตภัณฑ์แปรรูปธัญพืช
ข้าวหอมมะลิ ข้าวเหนียว ข้าวกล้อง(ซ้อมมือ)หอมมะลิ ข้าวแตน ข้าวกล้อง จมูกข้าวสาลี ถั่วต่าง ๆ เช่นถั่วเขียว ถั่วลันเตา ถั่วลิสง ถั่วแดงหลวง อาหารแปรรูป เช่น บะหมี่ ขนมปัง พิซซ่า และยีสต์  (ธัญพืชที่ให้โฟเลตสูงสุด คือ ข้าวกล้องให้ค่าสูงสุดคือ 262.53 ไมโครกรัม / 100 กรัม)

กลุ่มเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์
เนื้อหมูสันใน
เนื้อวัวสะโพก
เนื้อไก่อก
เนื้อปลาดุก
ไส้กรอกหมู
ตับ ไต
(
เนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์ให้ปริมาณโฟเลทระหว่าง 60.94 155.52 ไมโครกรัม / 100 กรัม
โดยเนื้อหมูสันในให้ค่าสูงสุดคือ 155.52 ไมโครกรัม / 100 กรัม )

ทานโฟเลตมาก ๆ อันตรายหรือไม่
ในคนปกติการทานโฟเลตในปริมาณมากๆ เกินความต้องการของร่างกายไม่เป็นไร เพราะร่างกายจะสามารถขับโฟเลตส่วนเกินนี้ออกมาได้เองไม่มีผลเสียอะไรต่อร่างกาย

แต่สำหรับผู้สูงอายุ การรับประทานโฟลิก เสริมเป็นสิ่งที่ต้องพึงระวังครับ เพราะโฟเลตที่มี่จำนวนมากทำให้เกิดความเสี่ยงสูงต่อการขาดวิตามินบี 12   ผู้สูงอายุที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป จึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนทานวิตามินเสริมกรดโฟลิก


โฟเลต หรือวิตามิน B9 มีหน้าที่สำคัญในกระบวนการสร้าง DNA และเซลล์ต่างๆของร่างกาย เมื่อคุณแม่อยู่ระหว่างการตั้งครรภ์ ร่างกายจะต้องการโฟเลตในปริมาณที่เพิ่มขึ้นกว่าก่อนตั้งครรภ์ถึง 50% คือจาก400 ไมโครกรัม เพิ่มเป็น 600 ไมโครกรัมต่อวัน  เพื่อใช้ในการเจริญเติบโตของลูกน้อย และสร้างเม็ดเลือดที่เพิ่มขึ้นระหว่างตั้งครรภ์

ขาดโฟเลต ส่งผลร้ายต่อลูกน้อยในครรภ์ตั้งแต่ไตรมาสแรก (ช่วง 3 เดือนแรก)

หากคุณแม่ได้รับโฟเลตไม่เพียงพอต่อความต้องการ ความผิดปกติร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้นกับลูกน้อยในครรภ์ตั้งแต่ในช่วงไตรมาสแรก ก็คือ ความพิการทางสมองที่เรียกว่า Neural tube defect ซึ่งเป็นความผิดปกติในการสร้างหลอดประสาทที่มีผลต่อไขสันหลังและสมอง ในรายที่รุนแรงมากอาจพบว่าสมองทั้งหมดขาดหายไป (Anencephaty) ไม่แน่ใจว่าเป็นตัว
หรืออาจพบว่ากระดูกสันหลังปิดตัวไม่สนิททำให้ของเหลวในไขสันหลังดันโป่งออกมา (Spina Bifida)
 
 






วันศุกร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2556

อาหารที่มีธาตุเหล็กสูง

 อาหารที่มีธาตุเหล็ก

          ธาตุเหล็กสูง  จำเป็นต่อการสร้างเฮโมโกลบิน ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของเม็ดเลือดแดง เป็นตัวนำพาออกซิเจนไปเลี้ยงอวัยวะและเนื้อเยื่อทั่วร่างกาย
อาหารที่มีธาตุเหล็กสูงอย่างประเภทเนื้อสัตว์ เนื้อแดง ปลา เป็ด และไก่
ประเภทผัก ได้แก่ ผักโขม ผักกูด ถั่วฝักยาว เห็ดฟาง พริกหวาน ใบแมงลัก ใบกะเพรา ยอดมะกอก และยอดกระถิน
วิธีป้องกันการขาดธาตุเหล็กก็คือ ควรกินเนื้อสัตว์สัปดาห์ละ 3 ครั้ง

          ธาตุเหล็กจากพืชผักและผลไม้มักละลายยาก ส่วนใหญ่มักติดอยู่กับคาร์โบไฮเดรต และมีเพียงเศษเสี้ยวเท่านั้นที่เข้าไปในกระแสเลือด นอกจากนี้ อาหารบางชนิดที่เรารับประทานอยู่ทุกวัน ยังไปขัดขวางการดูดซึมธาตุเหล็ก เช่น แคลเซียมจากผลิตภัณฑ์นม โพลีฟีนอยด์ (ถั่วเปลือกแข็ง) ไฟเตท (ธัญพืชและถั่ว) ฟอสเฟต (น้ำดำ ผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูป ชาและกาแฟ)
       
           อาหารที่เป็นศัตรูของธาตุเหล็ก   ชาและกาแฟ ขัดขวางการดูดซึมธาตุเหล็ก

          วิธีที่จะช่วยทำให้ดูดซึมธาตุเหล็กได้ดีก็คือ
          วิตามินซี  ช่วยให้ร่างกายดูดซึมโฟเลตและธาตุเหล็กจากพืชผักผลไม้ได้ดี ได้แก่ บรอกโคลี มะนาว ฝรั่ง มะขามป้อม และสตรอเบอร์รี่


บุคคลที่ต้องใส่ใจ

          นักมังสวิรัติ สตรีตั้งครรภ์ และให้นมบุตร สตรีมีรอบเดือน ต้องกินอาหารที่มีธาตุเหล็กเพิ่มขึ้น ซึ่งบางครั้งก็ค่อนข้างยาก หากจำเป็นก็ต้องให้แพทย์เป็นผู้สั่งจ่ายธาตุเหล็กสำเร็จรูป ปกติผู้หญิงในวัย 15-50 ปีควรได้รับธาตุเหล็กประมาณ 15 มิลลิกรัม ส่วนผู้หญิงวัยมากกว่า 50 ปี ควรได้รับวันละ 10 มิลลิกรัม


ส่วนผู้ที่ไม่ขาดธาตุเหล็ก ก็ไม่ควรเติมธาตุเหล็กสำเร็จรูปให้ร่างกายอีก เพราะร่างกายขจัดออกไม่ได้ และเมื่อมีมากเกินไปก็จะเป็นอันตรายต่อตับ

วันเสาร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2556

การปรับชีวิตคู่ คิดให้ดีก่อนตัดสินใจแต่งงาน

คิดให้ดีก่อนตัดสินใจแต่่งงาน

          ทุกๆคนที่ผ่านวัยหนุ่มสาว มักเคยมีเพื่อนคู่ใจแต่พอคบดูใจกันสักพักก็อาจมีการเปลี่ยนคู่และ
แต่่งงานกับคนอื่น บางคนอาจไม่เคยมีเพื่อนคู่ใจเลยเพราะว่าไม่มีใครที่คิดว่าเหมาะะสมหรือถูกใจเรา การเลือกคู่มีหลายทฤษฏีที่ศึกษาว่า ควรจะเลือกคู่อย่างไรเลือกแบบไหนเพื่อให้ชีวิตคู่มีความสุข เช่น    
     1.เลือกโดยการหาคนที่เหมาะสมเท่าเทียมทางสังคม และเศรษฐฐานะ
     2.เลือกโดยการจับคู่ เช่น นิสัยใจคอ ภูมิหลัง การศึกษา ถ้าคล้ายคลึงกันก็น่าจะอยู่กันนาน
     3.เลือกโดยการใช้เวลาศึกษาและพัฒนาความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้น หรือบางคนลองอยู่ด้วยกันก่อนแต่งว่าเข้ากันได้หรือไม่  เช่น ในประเทศตะวันตก
         
การเลือกคู่   มีหลายวิธี หลายปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยไม่มีทฤษฏีใดอธิบายหรือใช้ได้กับทุกคนที่คิดจะแต่งงาน แต่สิ่งที่ฝากเตือนไว้ก็คือ ในระหว่างที่คบกันใหม่ๆทุกอย่างดูมีความสุขเหมือนคำโบราณที่ว่า "ข้าวใหม่ปลามัน"  ในขั้นตอนนี้บางครั้งเรามองข้ามจุดไม่ดีต่างๆของคนที่เราคบ และเมื่อแต่งงงานก็พบว่า ข้อเสียต่างๆเหล่านี้มีมากมายเหลือเกิน ค่อยๆโผล่ขึ้นมา เพื่อไม่ให้เกิดความรู้สึกผิดหวังกับการตัดสินใจ ขอแนะนำดังนี้



     1.มองหาคนที่คิดว่าเหมาะสมกับเรามากที่สุด และใช้เวลาในการศึกษานิสัยใจคอและครอบครัวของเขา เพราะการแต่งงานจะต้องแต่งกับครอบครัวของเขาด้วย ครอบครัวของเราและของเขาเข้ากันได้ไหม ถ้าเราต้องอยู่กับครอบครัวเขาจะรับได้หรือไม่  อย่าใช้คำว่า "คิดว่าแต่งงานแล้วเขาจะทำตามที่เราต้องการ แต่งแล้วคงปรับตัวได้ " อนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอนไม่มีใครคาดเดาได้ ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา
     2.นิสัยข้อเสียต่างๆในคู่ของเราที่พบ เช่น นิสัย ท่าทาง คำพูด มารยาท ฯลฯ เรายินดีรับกับสิ่งเหล่านั่้นหรือไม่ ถ้าไม่มีทางแก้ไข เพราะการปรับเปลี่ยนใครสักคนเป็นสิ่งที่ย่ก ถ้าเขาไม่สมัครใจและตั้งใจที่จะเปลี่ยนจริงจัง ( ไม่ใช่เขาไม่รักแต่ทำยาก ) ดังนั้นข้อเสียเหล่านี้ถ้าเขาเปลี่ยนได้ก็ถือว่า เราโชคดี แต่ถ้าเปลี่ยนไม่ได้จะทำอย่างไร !! อย่าคิดว่า " แต่งแล้วคงเห็นแก่ภรรยา/สามีและลูกคงเปลี่ยนได้ "
     3.อย่าทุ่มเทใจให้หมด เผื่อความผิดหวังไว้บ้าง เพราะการเลือกคู่คือ  การซื้อล๊อตเตอรี่เราอาจไม่ถูกรางวัลก็ได้ และควรเตรียมพร้อมเสมอที่จะเปิดโอกาส ถ้าเราทั้ง 2 คนเข้ากันไม่ได้

ชีวิตคู่มีความสุขได้อย่างไร ?? (ปัจจัยที่ไม่ควรมองข้าม)

          จากการศึกษาคู่สามีภรรยาที่แต่งงานในอเมริการ้อยละ 61 มีความสุขถึงสุขมากในการแต่งงาน ในคู่สามีภรรยากลุ่มนี้ พบว่า มีปัจจัยที่เกี่ยวข้อง คือ ในช่วงนอกเวลางานใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ด้วยกัน มีความสนิทสนมคล้ายเพื่อน แสดงความรักให้ความเคารพและความห่วงใย ในความต้องการของกันและกัน ฝ่ายหญิงมีส่วนร่วมในการตัดสินใจได้เท่าเทียมกับฝ่ายชาย  จากผลการศึกษานี้สะท้อนให้เห็นว่า ความใกล้ชิด การให้เกียรติและยอมรับในคู่สมรส รวมทั้งความต้องการต่างๆทั้ง 2 ฝ่าย ควรมีส่วนในการตัดสินใจร่วมกัน เป็นสิ่งที่ในสังคมไทย อาจต้องมีการยอมรับบทบาทฝ่ายหญิงมากขึ้น เพื่อความสุขในชีวิตแต่งงานเพราะในปัจจุบันฝ่ายหญิงมีการศึกษาและมีงานทำมากขึ้น

     การสื่อสาร  เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ชีวิตคู่มีความสุข!! หลายท่านอาจสงสัยว่า เป็นได้อย่างไร การแต่งงานคือ การอยู่ร่วมกันของคนสองคนหรืออาจเพิ่มขึ้นถ้ามีลูกหรือญาติพี่น้องเกี่ยวข้องด้วย ลองนึกภาพดูในสังคมเล็กๆ มนุษย์เรามีการสื่อสารใหญ่ๆ 2 ทางคือ  การสื่อสารโดยคำพูด และสื่อสารโดยภาษากาย ถ้าเราพูดคุยกับใครและได้รับการยอมรับ ไม่ถูกว่ากล่าว ไม่ถูกติเตียน เราคนที่พูดคงรู้สึกมีความสุขและภูมิใจในตัวเองและอยากพูดอยากคุยกับคนนั้นอีก ในสังคมเล็กๆของชีวิตคู่ก็เช่นกัน

การสื่อสารที่ดีควรมีลักษณะอย่างไร

     การสื่อสารที่ดีควรมีลักษณะ ดังนี้

          1.สื่อสารด้วยคำพูดทางด้านบวก     ( พูดจาภาษาดอกไม้ ) โดยการฟังยอมรับ เห็นด้วย มีอารมณ์ขัน หรือเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็น โดยไม่มีการตำหนิด่าว่า หรือสั่งบังคับข่มขู่ขู่เข็ญ

          2.แสดงอารมณ์ที่ดีต่อกัน    ( ยิ้มแย้มแจ่มใส ) แม้บางครั้งรู้สึกโกรธไม่พอใจ แต่การมีอารมณ์ที่ผ่อนคลายไม่โมโห หรือยิ้มสู้เข้าไว้ อาจทำให้บรรยากาศในการพูดคุยดีขึ้น

          3.ทัศนคติที่ดีกับคู่สมรส     มองเขาในแง่บวกเข้าใจในความรู้สึกความต้องการของคนที่เรารัก เช่น       -สามีกลับบ้านดึกก็ต้องเข้าใจว่า เขามีความจำเป็นที่ต้องติดธุระ หรือ ทำงาน
     -การที่เขาให้ของขวัญญาติพี่น้อง ก็เพราะเขามีคริบครัวเดิมที่ต้องรับผิดชอบ ไม่ใช่เขาเป็นของเราคนเดียว
        การจับผิด การมอง หรือ คิดในด้านลบ ทำให้เกิดความขัดแย้งมากมาย แม้ในบางครั้งเขาอาจไม่ได้ทำผิดจริง แต่ความรู้สึกไม่ไว้ใจกันจะทำให้ความรักจางลง

          4.รับผิดชอบต่อครอบครัวในทุกๆเรื่อง     ( เอาใจใส่ดูแล ) การรับผิดชอบในครอบครัวไม่ใช่จู้จี้ เพราะการจู้จี้ คือการที่เราให้เขาทำในสิ่งที่เราอยากให้ทำ แต่กดารับผิดชอบ คือการปรับที่ตัวเราให้ทำหน้าที่บทบาทของตนเองให้ดีที่สุด โดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับคู่สมรส ( อย่าโมโห อย่าคาดหวัง หรือโกรธ ถ้าอีกฝ่ายไม่ทำ ) เช่น การให้เกียรติ การดูแลเงินทอง การดูแลความเป็นอยู่  การให้ความห่วงใย

          5.เป็นคนเปิดเผย     ( อย่ามีความลับ) การเปิดเผยตนเองเป็นการสื่อสารอีกชนิดหนึ่งที่ทำให้รู้สึกไว้ใจซึ่งกันและกัน ทำให้เกิดความผูกพันและใกล้ชิดกันมากขึ้น และการเปิดเผยอาจช่วยทำให้เรามีคนช่วยคิดช่วยแก้ปัญหา แม้บางครั้งปัญหาอาจแก้ไม่ได้ แต่อย่างน้อยเราได้รับการดูแลทางจิตใจจากคนใกล้ชิด ก็ทำให้ชีวิตคู่มีความสุขได้

          จากการสื่อสารต่างๆทั้ง 5 ประเภทที่กล่าวจะเห็นว่า ถ้าเราสามารถปฎิบัติได้ คนใกล้ชิดของเราก็อาจจะเรียนแบบวิธีพูดวิธีคิดมุมมองของเราที่ดีและปฎิบัติต่อกันในด้านดีๆกลับมาก็ได้นะคะ แต่ถ้าไม่มีการปฎิบัติกลับมาอย่างน้อยเราก็น่ารักในสายตาคนอื่นค่ะ

หน่วยอนามัยการเจริญพันธุ์และงานวางแผนครอบครัว
ภาควิชาสูติศาสตร์นรีเวชวิทยา
คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล
โทร.02-4194736-7

วิตามินสำหรับคนท้อง

7 วิตามินสำคัญสำหรับคนท้อง

เมื่อคุณตั้งครรภ์  เป็นเรื่องสำคัญที่คุณต้องได้รับวิตามินและแร่ธาตุอย่างเต็มที่ เพราะมันเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับพัฒนาการทางสุขภาพของทารกในครรภ์ ดังนั้น คุณจึงต้องรู้ว่าวิตามินเหล่านั้นมีหน้าที่อะไร และให้คุณค่าด้านโภชนาการแก่ส่วนใดของคุณบ้าง ในที่นี้จะขอกล่าวถึงวิตามินและแร่ธาตุที่สำคัญเจ็ดชนิด

1.  โปรตีน : โปรตีนเป็นส่วนสำคัญในการเสริมสร้างเซลล์ร่างกายของลูกน้อย ความต้องการโปรตีนมีเพิ่มมากขึ้นในระหว่างสามเดือนที่สองและสามเดือนสุดท้ายของการตั้งครรภ์ อาหารหลายอย่างอุดมไปด้วยโปรตีนรวมทั้ง เนื้อสัตว์ ปลา ไข่ เนย และเต้าหู้

2.แคลเซียม : แร่ชาติชนิดนี้มีความสำคัญต่อการพัฒนากระดูของลูกน้อย และร่างกายของคุณจะต้องการแร่ธาติชนิดนี้เพิ่มขึ้นมากในระหว่างการตั้งครรภ์ การขาดแคลเซียมสามารถทำให้เกิดกระดูพรุนและกระดูกของลูกไม่แข็งแรง แคลเซียมมีอยู่มากในผลิตภัณฑ์นม เช่น นมสด เนย โยเกิร์ต ผักขม เต้าหู้ และบร๊อคโคลี


3. วิตามิน อี : วิตามินชนิดนี้ช่วยในการพัฒนาของกล้ามเนื้อและเซลล์เม็ดเลือดของทารก การขาดวิตามินอีมีผลทำให้ทารกคลอดมาน้ำหนักต่ำ ในขณะที่การได้รับวิตามินนี้มากเกินไปก็เกี่ยวข้องกับการแท้งลูก

เพราะฉะนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญที่คุณจะต้องขอคำแนะนำจากแพทย์ก่อนที่จะรับประทานวิตามิน อี เสริม วิตามิน อี สามารถพบได้ในอาหารหลายชนิดเช่น น้ำมันพืช ถั่ว และธัญพืช

4. วิตามินบี 1 : วิตามินชนิดนี้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับพัฒนาการของระบบประสาทส่วนกลางของลูกน้อย การได้รับวิตามิน บี 1 ไม่เพียงพออาจทำให้ลูกของคุณเสี่ยงต่อการเป็นโรคเหน็บชา ซึ่งสามารถเป็นอันตรายต่อหัวใจและปอดของลูกได้ อาหารที่มีวิตามิน บี 1 เช่น อาหารจากข้าวและแป้ง จมูกข้าวสาลี และไข่

5. วิตามิน บี 6 : วิตามินนี้ช่วยในการพัฒนาสมองและระบบประสาทของลูกน้อย ในบางกรณีมันยังช่วยลดอาการแพ้ท้องได้ด้วย วิตามิน บี 6 หาได้จากกล้วย แตงโม ถั่วเขียว และหน้าอกไก่

6. เหล็ก : แร่ธาตุชนิดนี้มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาของเซลล์เม็ดเลือด ซึ่งจำเป็นสำหรับพัฒนาการทางสุขภาพของลูกน้อย เหล็กยังเป็นแร่ธาตุที่สำคัญในการเติบโตของรก เหล้กสามารถพบได้จาก เนื้อสัตว์สีแดง ผัก ข้าว และธัญพืชวิตามิน

7. สังกะสี : แร่ธาตุชนิดนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเจริญเติบโตของเซลล์ในทารกในครรภ์ เหล็กยังช่วยเสริมการผลิตเอ็นไซม์ เช่น อินซูลิน ในหญิงตั้งครรภ์ เหล็กสามารถพบได้ใน เนื้อสัตว์สีแดง เป็ด ไก่ ถั่ว ข้าว และผลิตภัณฑ์นม

วิตามินและแร่ธาตุ เป็นส่วนสำคัญสำหรับโภชนาการของสตรีมีครรภ์ทุกคน  อย่างไรก็ตาม คำแนะนำด้านวิตามินและแร่ธาตุที่คุณต้องการในระหว่างการตั้งครรภ์ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ


หน่วยอนามัยการเจริญพันธุ์และงานวางแผนครอบครัว
ภาควิชาสูติศาสตร์นรีเวชวิทยา
คณะแพทย์ศาสาตร์ศิริราชพยาบาล
โทร.02-4194736-7 

วันอังคารที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2556

การปรับชีวิตคู่

การปรับชีวิตคู่

รศ.พญ.สุดสบาย จุลกทัพพะ

          วงจรชีวิตของมนุษย์เริ่มต้นตั้งแต่เราเกิดจากท้องแม่และจบลง เมื่อเราสิ้นลมหายใจ ชีวิตทุกชีวิตมีการหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไปตามจังหวะของวัยที่แตกต่างกัน แม้ในปัจจุบันสังคมเปลี่ยนแปลงไปมากจากอดีตที่ใช้สัตว์เป็นพาหนะ จนปัจจุบันมียานพาหนะที่ทันสมัยและรวดเร็วเป็นโลกของดิจิตอล คอมพิวเตอร์ การวิวัฒนาการทางการแพทย์พยายามคิดค้นวิธีที่ให้เกิดเซลล์มนุษย์ของมาใหม่ เพื่อสู้กับความตายในหลายๆรูปแบบ แต่วงจรชีวิตของมนุษย์ก็ยังคงเหมือนๆเดิม  มีการเกิด เข้าสู่วัยเด็ก และวัยผู้ใหญ่ เพื่อนต่างเพศก็จะเข้ามาในชีวิตและเมื่อแต่งงานจะปรับกลายเป็นชีวิตคู่ หลายท่านมีชีวิตการแต่งงานและครอบครัวที่มีความสุข แต่บางท่านแต่งงานกันไม่นานหรืออาจแต่งงานจนลูกๆโตหมดแล้วก็ได้ จึงพบอุปสรรคมีการทะเลาะเบาะแว้ง มีความเห็นไม่ตรงกัน จนกลายเป็นการหย่าร้าง หรือถ้าไม่หย่าก็อาจอยู่ด้วยกันอย่างไม่มีความสุขในครอบครัว

          การปรับตัวกับชีวิตคู่ เป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะการแต่งงาน คือการที่เราคิดว่าเราเลือกคนที่ดีที่สุดให้กับตนเองแล้ว ทุกคนที่แต่งงานคงไม่คิดว่า จะหย่าร้างในอนาคต แต่ในชีวิตคู่มีปัจจัยต่างๆมากมายกระทบ  เช่นปัจจัยครอบครัว สังคม เศรษฐกิจ การงาน การเจ็บป่วย รวมถึงการเปลี่ยนแปลงตามวัยของเราและชีวิตของเรา ซึ่งอาจเกิดปัญหาต่างๆได้ ตลอดวงจรชีวิตของมนุษย์ จะเห็นได้ชัดว่า เราต้องปรับตัวอยู่ตลอดเวลาตามช่วง ตามวัย ตามปัญหาต่างๆที่มากระทบ

          การแต่งงานเปรียบเสมือน " การซื้อล๊อตเตอรี่ " ซึ่งเราไม่สามารถจะทราบได้ว่า ล๊อตเตอรี่ที่เราซื้อจะถูกรางวัลหรือไม่ แม้เราจะเลือกเลขที่สวยที่สุดที่บอกโดยอาจารย์ดังต่างๆก็ตาม ถ้าเราโชคดีคู่ที่เราเลือกก็จะเป็นเหมือนรางวัลที่ 1 หรือรางวัลอื่นๆลดหลั่นลงมา ล๊อตเตอรี่เมื่อไม่ถูกก็หาซื้อเสี่ยงใหม่ได้ แต่การแต่งงานสำหรับบางท่านอาจรู้สึกว่า ไม่สามารถทำได้เช่นนั้น การแต่งงานเป็นเหมือนสิ่งที่มอบให้กับคนที่เรารักคนเดียว การปรับตัวกับชีวิตคู่การเตรียมพร้อมที่จะเผชิญปัญหาต่างๆจึงเป็นสิ่งที่คู่หนุ่มสาวทุกท่านควรสนใจศึกษา
     ข้อควรรู้ที่กล่าวในที่นี้ คือ
1.แนวคิดที่แตกต่างระหว่างหญิงและชาย ??
2.คิดให้ดีก่อนตัดสินใจแต่งงาน
3.ชีวิตคู่มีความสุขได้อย่างไร ?? ( ปัจจัยที่ไม่ควรมองข้าม )

          แนวคิดที่แตกต่างระหว่างหญิงและชาย????
     หญิงชายมีความแตกต่างกันในหลายๆด้านทั้งทางร่างการ การเลี้ยงดู ทัศนคติ ที่ปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กจนโต ดังนั้นจากความแตกต่างเมื่อคนสองคนตัดสินใจมาอยู่ด้วยกันการปรับตัวจึงจำเป็นอย่างยิ่ง การปรับแนวคิดที่แตกต่างในผู้หญิงและผู้ชาย เป็นสิ่งที่ทั้ง 2 ฝ่ายควรเรียนรู้ความคิดซึ่งกันและกัน เพื่อจะได้เข้าใจความคิดความต้องการของอีกฝ่ายหนึ่ง โดยไม่ยึดเอาความคิดเห็นของตนเองเป็นที่ตั้ง ปัญหาความขัดแย้งหลายครั้งเกิดจากยึดมั่นในความคิดตนเองและต้องการให้ผู้อื่นเป็นเช่นที่เราต้องการ แต่เมื่อเราต้องการให้คนที่เรารักมีความสุขควรที่จะพยายามเข้าใจและช่วยเหลือเขาให้มีความสุขกับชีวิต
     ผู้ชาย     จะมีแนวคิดที่มุ่งมั่นในการทำงานมีความเป็นตัวของตัวเองสูง ไม่ชอบให้ใครดูถูกหรือว่ากล่าวตักเตือน ให้ความสำคัญกับศักดิ์ศรีของตนเอง
     ผู้หญิง     จะมีแนวคิดที่ต้องการความสุข ความสำเร็จทั้งหน้าที่การงานและครอบครัว เห็นความสำคัญของการมีมิตร การเข้าสังคมสมาคม กับบุคคนอื่น และต้องการความใกล้ชิดมากกว่าผู้ชาย โดยให้ความสำคัญกับความรัก และครอบครัวเท่าๆกัน    
          จากแนวคิดของทั้ง 2 เพศที่แตกต่างกัน  จะเห็นว่ามุมมองของฝ่ายหญิงต้องการความใกล้ชิด การดูแล การเอาใจใส่ แต่ขณะเดียวกัน ฝ่ายชายต้องการมีชีวิตที่ส่วนตัวเป็นตัวของตัวเองมีศักดิ์ศรี ดังนั้นถ้าฝ่ายหญิงต้องการที่จะทำให้ฝ่ายชายรู้สึกมีความสุขที่อยู่ใกล้เรา การให้เกียรติ การให้ความเคารพในเรื่องส่วนตัวของฝ่ายชายก็จะลดความขัดแย้งลง ในทำนองเดียวกัน ฝ่ายชายถ้าต้องการให้ฝ่ายหญิงมีความสุขการให้ความอบอุ่น ความใกล้ชิด ความผูกพันอย่างต่อเนื่อง เช่น การให้ของเล็กๆน้อยๆก็จะทำให้ฝ่ายหญิงรู้สึกไม่ถูกทอดทิ้งจากฝ่ายชาย ความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ฝ่ายจะมีมากขึ้น
          ความเข้าใจ การให้เกียรติซึ่งกันและกัน การแบ่งเวลาส่วนตัวและเวลาของครอบครัวให้เหมาะสมจะเป็นพื้นฐานของชีวิตคู่ที่มีความสุข 



หน่วยอนามัยการเจริญพันธุ์และงานวางแผนครอบครัว
ภาควิชาสูติศาสตร์นรีเวชวิทยา
คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล
โทรศัพท์ 02-4194736-7

วันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2556

ความเสี่ยงของมารดาขณะตั้งครรภ์ 2

ความเสี่ยงของมารดาขณะตั้งครรภ์

โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์

          มีอุบัติการประมาณร้อยละ 2.6 ของการคลอดมีชีวิต มารดาที่มีความเสี่ยงในการเกิดเบาหวานขณะตั้งครรภ์เป็นดังที่กล่าวไว้ข้างต้น ถ้าผลการตรวจพบว่า มารดาเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์จริง แพทย์จะทำให้การดูแลรักษาโดยการควบคุมอาหารเป็นหลัก ซึ่งส่วนมากมักควบคุมได้ผล มีเพียงส่วนน้อยที่ไม่สามารถควบคุมได้ จึงต้องใช้ยาฉีดอินซูลินเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในระดับปกติร่วมด้วย  โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ทำให้เกิดผลต่อทารกได้แก่ ทารกตัวใหญ่กว่าปกติทำให้คลอดยาก คลอดติดไหล่ มารดาก็มีภาวะแทรกซ้อนจากการคลอดยากตามมาได้แก่ การตกเลือดหลังคลอดจากแผลฉักขาดของช่องคลอด มดลูกหดรัดตัวไม่ดี รวมทั้งอาจทำให้มีภาวะเสี่ยงต่อครรภ์เป็นพิษเพิ่มขึ้นด้วย เบาหวานที่เกิดขึ้นจากการตั้งครรภ์ ( ร้อยละ 90 ) จะหายหลังจากคลอดแล้ว



ภาวะครรภ์เป็นพิษ

          ถือว่าเป็นภาวะฉุกเฉินทางสูติกรรมภาวะหนึ่ง มารดามีอาการบวมมากผิดปกติ มีความดันโลหิดสูง และตรวจพบไข่ขาว (albumin)ในปัสสาวะ มีความเสี่ยงที่จะทำให้มารดาเกิดการชัก หัวใจวายหรือเลือดออกในสมองได้ อาการและอาการแสดงของภาวะนี้ คือ บวมมาก น้ำหนักขึ้นมาก ปวดศีรษะ ตาพร่ามัว ปวดจุกใต้ลิ้นปี่ เมื่อตรวจพบภาวะนี้แพทย์จะรีบให้การดูแลรักษาโดยให้ยาป้องกันชัก ยาลดความดัน เจาะเลือดตรวจหาภาวะแทรกซ้อนอื่น เช่น เกร็ดเลือดต่ำ การทำงานของตับบกพร่อง การทำงานของไตผิดปกติ และพิจารณากระตุ้นคลอด หรือผ่าตัดคลอด เมื่อสามารถคงบคุมความดันโลหิตได้ เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนต่อมารดาและทารกถ้าปล่อยให้โรคดำเนินต่อไป ภาวะนี้เป็นสาเหตุสำคัญของการตายของมารดา

ความพิการแต่กำเนิดของทารกในครรภ์

          ทารกมีความเสี่ยงพิการธรรมชาติประมาณร้อยละ 3 เช่น ปากแหว่งเพดานโหว่ มีติ่งที่ใบหู และโรคหัวใจ เป็นต้น มารดาที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดทารกพิการแต่กำเนิดมากขึ้นได้แก่ มารดาที่มีอายุมากกว่าโดยเฉพาะเมื่ออายุมากกว่า 35 ปี มีประวัติโรคพิการแต่กำเนิดในครอบครัว ได้รับยาหรือสารที่มีผลต่ะทารกตั้งแต่ช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ แต่ส่วนใหญ่ไม่ทราบสาเหตุดังนั้นในการฝากครรภ์ แพทย์จะมีการตรวจประเมินความเสี่ยงดังกล่าว แนะนำการตรวจวินิจฉัยก่อนคลอดในรายที่มีความเสี่ยง โดยการเจาะเลือดตรวจระดับฮอร์โมนในช่วงไตรมาสแรกหรือไตรมาสที่สอง แล้วนำค่าที่ได้มาประเมินร่วมกับอายุมารดาและอายุครรภ์ ค่าที่ได้ออกมาจะเป็นตัวเลขความเสี่ยงที่ทารกจะมีความพิการแต่กำเนิดบางชนิด เช่น Down syndrome,Neural tube defect ( หลอดระบบประสาทไม่ปิด ) และ Trisomy 18 การเจาะน้ำคร่ำเพื่อนำไปตรวจโครโมโซมของทารกในครรภ์ การตรวจอัลตร้าซาวน์เพื่อดูความพิการตั้งแต่กำเนิดของทารก ความพิการบางชนิดหรือบางกลุ่มอาการอาจไม่ร้ายแรงและสามารถแก้ไขได้ แพทย์ก็จะพิจารณาลอดเมื่ออายุครรภ์ครบกำหนด แล้วมาแก้ไขความพิการของทารกหลังคลอด แต่ความพิการบางอย่างมีความรุนแรงมากจนทารกไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้หลังคลอด แพทย์ก็จะยุติการตั้งครรภ์ทันที

          ดังนั้นการเตรียมตัวก่อนแต่งงานหรือก่อนมีบุตรจึงมีความสำคัญต่อคู่สมรส ในการตรวจคัดกรองโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ ตรวจหาความผิดปกติของคู่สมรสในการที่จะเกิดการตั้งครรภ์ผิดปกติหรือโอกาสที่จะเกิดทารกที่มีความพิการตั้งแต่กำเนิด เพื่อจะได้มีแนวทางการป้องกันความผิดปกติดังกล่าว เมื่อมีการตั้งครรภ์เกิดขึ้น การฝากครรภ์ก็มีความจำเป็นและมีความสำคัญในการตรวจหาความผิดปกติทั้งมารดาและทารก แล้วรีบให้การรักษา เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนในอนาคต



หน่วยวิจัยอนามัยการเจริญพันธุ์และงานวางแผนครอบครัว
ภาควิชาสูติศาสตร์นรีเวชวิทยา
คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล
โทรศัพท์  02-4194736-7




วันเสาร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2556

ความเสี่ยงของมารดาและทารกขณะตั้งครรภ์

ความเสี่ยงของมารดาและทารกขณะตั้งครรภ์

          การตั้งครรภ์เป็นสิ่งที่คู่สมรสรอคอยให้เกิดขึ้น และมีความยินดีอย่างยิ่งเมื่อมีการตั้งครรภ์เกิดขึ้น จึงมีความตั้งใจที่จะให้การดูแลประคับประคองจนกระทั่งคลอดบุตรที่แข็งแรงและมารกามีความปลอกภัย แต่ในบางภาวะหรือในหญิงบางคนอาจมีความเสี่ยงในการเกิดการตั้งครรภ์ที่ผิดปกติ ซึ่งมีได้ ตั้งแต่ การแท้งบุตร การคลอดบุตรก่อนกำหนด การตกเลือดก่อนคลอด โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ ภาวะครรภ์เป็นพิษ ความพิการแต่กำเนิดของทารกในครรภ์ ดังนั้นการฝากครรภ์จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งเพื่อแพทย์จะได้ตรวจหาความผิดปกติ และให้การดูแลรักษาป้องกันได้


การแท้งบุตร

          คือ ภาวะที่มีการสิ้นสุดของการตั้งครรภ์ก่อนอายุครรภ์ 28 สัปดาห์ แท้งธรรมชาติเกิดประมาณร้อยละ 10-15 สาเหตุของการแท้งบุตรร้อยละ 70-80 เกิดจากทารกมีความผิดปกติของโคโมโซม จึงเป็นกลไกธรรมชาติที่จะถูกขับออกมา ความเสี่ยงในการแท้งบุตรมีมากขึ้นในมารดาที่มีอายุมาก แต่ถ้ามารดามีประวัติแท้งบุตรติดต่อกันมากกว่า หรือเท่ากับ 3  ครั้งน่าจะมีสาเหตุมารดามีโรคหรือภาวะบางอย่างที่ไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ เช่น มดลูกมีความผิดปกติแต่กำเนิด มีเนื้องอกมดลูกหรือติ่งเนื้อในโพรงมดลูกซึ่งจะขัดขวางการฝังตัวของตัวอ่อนหรือการเจริญเติบโตของทารก มีโรคประจำตัวทางอายุกรรมที่ควบคุมไม่ได้ดี และโรคเกี่ยวกับภูมิต้านทานตนเองที่ผิดปกติ เป็นต้น
          อาการของการแท้งบุตร คือ  เลือดออกทางช่องคลอด และปวดท้องน้อย ซึ่งควรรีบมาตรวจรักษา แพทย์จะทำการตรวจภายใน เพื่อประเมินปริมาณเลือดที่ออก ตรวจปากมดลูกว่า เปิดหรือไม่ แล้วพิจารณาการรักษาต่อไป


การคลอดก่อนกำเนิด

          การคลอดที่เกิดก่อนอายุครรภ์ 37 สัปดาห์ เรียกว่า การคลอดก่อนกำหนด  สาเหตุส่วนใหญ่ไม่ทราบสาเหตุ แต่ความเสี่ยงจะมีมากขึ้นเมื่อทารกมีความผิดปกติ มารดาที่มีโรคประจำตัวต่างๆมารดาอายุน้อยหรือมารดาอายุมาก มีประวัติการคลอดอ่นกำเนิดมาก่อน มีเนื้องอกมดลูก การตั้งครรภ์แฝด มีภาวะแทรกซ้อนขณะตั้งครรภ์เช่น ภาวะเบาหวาน ครรภ์เป็นพิษ การแตกรั่วของถุงน้ำคร่ำก่อนกำหนด และภาวะรกเกาะต่ำ  มารดาจะมีอาการเจ็บครรภ์เนื่องจากมดลูกบีบรัดตัว มีน้ำใสๆออกทางช่องคลอด มีเลือดออกทางช่องคลอดก่อนกำหนด ต้องรีบมาตรวจหาสาเหตุและให้การรักษาเพื่อพยายามยึดอายุครรภ์ให้มากที่สุด เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนของทารกที่เกิดก่อนกำหนด


การตกเลือดก่อนคลอด

          การที่มีเลือดออกในช่วงอายุครรภ์ 28-37 สัปดาห์ เรียกว่า การตกเลือดก่อนคลอด สาเหตุที่ทำให้มีเลือดออกส่วนใหญ่มักเกิดจากภาวะรกเกาะต่ำ ซึ่งมีอุบัติการประมาณ 1  ใน 300 การคลอด ความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะนี้ เช่น มีประวัติผ่าตัดคลอด มีประวัติการขูดมดลูก มีเนื้องอกมดลูก บางครั้งก็ไม่ทราบสาเหตุ การวินิจฉัยอาศัยประวัติเลือดออกโดยอาจจะมีอาการเจ็บครรภ์ร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้ แต่อาการจะเจ็บไม่มาก การตรวจอัลตร้าซาวด์ พบว่า รกเกาะอยู่ในตำแหน่งต่ำกว่าปกติ การรักษา คือ การักษาประคับประคองให้มีอายุครรภ์ครบกำหนดให้มากที่สุด  โดยให้มารดาพักผ่อนมากๆงดเพศสัมพันธ์ พิจารณาให้ยาคลายการบีบตัวของมดลูก ถ้ามีมดลูกหดรัดตัว เพราะการหดรัดตัวของมดลูกจะยิ่งทำให้มีเลือดออกทางช่องคลอดมากขึ้น ตรวจติดตามการเจริญเติบโตของทารกเป็นระยะๆ ถ้ามีเลือดออกมากไม่หยุด อาจต้องพิจารณาผ่าตัดคลอดก่อนกำหนด


หน่วยอนามัยการเจริญพันธุ์และงานวางแผนครอบครัว
ภาควิชาสูติศาสตร์นรีเวชวิทยา 
คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล
โทร.02-4194736-7  

วันอังคารที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2556

การตั้งครรภ์

 การตั้งครรภ์

         การมีเพศสัมพันธ์ในช่วงที่ใกล้ภาวะไข่ตกในฝ่ายหญิงมากที่สุด จะทำให้มีโอกาสตั้งครรภ์ได้มากที่สุด โดยนับจากระยะห่างของรอบเดือน(ปกติจะอยู่ในช่วง 21-35 วัน ) ลบด้วย 14 จะเท่ากับวันที่ไข่ในแต่ละรอบเดือนนั้น หรือใช้วิธีการตรวจหาวันไข่ตกโดยการตรวจปัสสาวะเพื่อทดสอบการตกไข่ ในช่วงกึ่งกลางรอบเดือน ส่วนการตรวจโดยการวัดอุณหภูมิร่างกายมีความคลาดเคลื่อนได้สูง ถ้าคู่สมรสมีเพศสัมพันธ์กันอย่างสม่ำเสมอ (อย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์) โดยไม่ได้คุมกำเนิดเป็นเวลา 1 ปี แล้วยังไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ก็ถือว่า คู่สมรสนั้นมีภาวะผู้มีบุตรยาก ก็ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและให้การปรึกษาต่อไป
          ในผู้หญิงที่มีปีะจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ การขาดประจำเดือนอาจไม่ชัดเจน แต่ถ้ามีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น คลื่นไส้ อาเจียน คัดตึงหน้าอก อาจเป็นอาการที่บ่งบอกการตั้งครรภ์ได้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจให้แน่นอนว่าตั้งครรภ์หรือไม่ แต่ในรายที่มีประจำเดือนสม่ำเสมอ ถ้ามีการขาดหายไปของประจำเดือน ควรทดสอบการตั้งครรภ์ ถ้าพบว่ามีการตั้งครรภ์เกิดขึ้นสามารถปรึกษาแพทย์เพื่อฝากครรภ์ได้เลย 

การฝากครรภ์

          เมื่อทราบว่ามีการตั้งครรภ์เกิดขึ้น สามารถมาปรึกษาแพทย์เพื่อฝากครรภ์ได้เลย ส่วนจะเลือกโรงพยาบาลใดนั้น ก็ขึ้นกับความสะดวกในการเดินทาง การมาตรวจติดตามอย่างต่อเนื่อง และการประเมินค่าใช้จ่าย แต่ควรจะเป็นโรงพยาบาลที่สามารถเดินทางได้สะดวกใกล้บ้าน จะมีผลดีกว่าถ้ามีภาวะฉุกเฉินเกิดขึ้นก็สามารถที่จะได้รับการดูแลรักษาได้อย่างรวดเร็ว กว่าสถานพยาบาลที่อยู่ไกล ในการฝากครรภ์นั้นแพทย์จะทำการซักประวัติการตั้งครรภ์ การคลอด การแท้ง ประวัติวันแรกของการมีประจำเดือนเดือนสุดท้าย เพื่อนำมาคำนวณอายุครรภ์ และคะเนวันครบกำหนดคลอด ทำการตรวจร่างกาย ตรวจหัวนมและเต้านม ซึ่งพบว่ามีความผิดปกติก็จะทำการแก้ไขหัวนมอย่างต่อเนื่อง ทำการตรวจเลือดซึ่งคล้ายกับที่ตรวจก่อนการตั้งครรภ์ คือ ตรวจหาโรคโลหิตจาง หมู่เลือด โรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ แล้วนำข้อมูลทั้งหมดมาประเมินว่า เป็นการตั้งครรภ์ที่อยู่ในกลุ่มความเสี่ยงสูงหรือไม่ 
          
          การตั้งครรภ์ที่มีความเสี่ยงสูงได้แก่
     -มารดาที่มีอายุมากกว่า 35 ปี จะมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดทารกที่มีความผิดปกติทางโคโมโซมได้สูง (ส่วนใหญ่เป็นดาวน์ซิมโดรม คือ มีปัญญาอ่อน )  ซึ่งได้รับการตรวจเจาะน้ำคร่ำ (ในช่วงอายุครรภ์ประมาณ 16-20 สัปดาห์ ) เพื่อนำไปตรวจโครโมโซมของทารกในครรภ์ ส่วนในมารดาที่มีอายุน้อยกว่า 35 ปี เนื่องจากความเสี่ยงในการเกิดเด็กดาวน์ซิมโครมต่ำกว่า จึงเลี่ยงการเจาะตรวจน้ำคร่ำก่อน (โอกาสแท้งจากการเจาะน้ำคร่ำ =1 ใน200) โดยใช้การเจาะเลือดแม่เพื่อตรวจประเมินความเสี่ยงในการเกิดความผิดปกติของโครโมโซมแทน โดยใช้ข้อมูล อายุมารดา อายุครรภ์และค่าของสาร หรือระดับฮอร์โมนที่รกสร้าง แล้วนำมาประเมินเป็นตัวเลขความเสี่ยงที่จะเกิดความผิดปกติว่ามากหรือน้อย ถ้าความเสี่ยงมากจึงเจาะน้ำคร่ำต่อไป
     -มารดาที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวาน ได้แก่ อายุมากกว่า 30 ปี มีประวัติโรคเบาหวานในครอบครัว เคยมีประวัติการคลอดทารกน้ำหนักมากกว่า 4000 กรัม มีประวัติทารกพิการแต่กำเนิดโดยไม่ทราบสาเหตุ ถ้ามีประวัติเหล่านี้แพทย์จะทำการตรวจคัดกรองเบาหวาน ขณะตั้งครรภ์ ถ้าผลตรวจคัดกรองพบว่ามีความผิดปกติ ก็จะตรวจละเอียดอีกครั้งว่ามีเบาหวานขณะตั้งครรภ์หรือไม่
     -มารดาที่มีประวัติคลอดยากในครรภ์ก่อน ต้องใช้เครื่องดูดสูญญากาศหรือคีมช่วยคลอดในครรภ์ก่อน
     -มารดที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคประจำตัว โรคเลือด ต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติ โรคเกี่ยวกับภูมิต้านทานทำงานผิดปกติ เป็นต้น โดยก่อนที่จตะตั้งครรภ์ควรปรึกษาแพทย์ก่อนว่าสามารถตั้งครรภ์ได้หรือไม่ สูติแพทย์ก็จะให้การดูแลรักษาผู้ป่วยร่วมกับแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับโรคที่เป็นอยู่นั้นๆ ในการดูแลมารดาและทารก

          หลังการฝากครรภ์ในครั้งแรกแล้วแพทย์ก็จะนัดฟังผลเลือดในอีก 1-2 สัปดาห์ต่อมา  เพื่อบอกผลเลือด ให้คำแนะนำดูแลรักษาความผิดปกติที่เกิดขึ้น ถ้าไม่มีความผิดปกติใดๆ แพทย์จะนัดตรวจต่อทุก 4 สัปดาห์ ในช่วงอายุครรภ์ 6-16 สัปดาห์ มารดาอาจมีอาการแพ้ท้องได้  แพทย์ก็จะให้ยาแก้แพ้ท้องไปรับประทานร่วมกับยาบำรุง โดยส่วนใหญ่แล้วอาการแพ้ท้องมักไม่รุนแรง สามารถบรรเทาได้ด้วยยาแก้แพ้ท้อง แต่ถ้ามารดามีอาการมากอาเจียนตลอดเวลา รับประทานอาหารไม่ได้ รู้สึกอ่อนเพลียมาก อาจต้องมาปรึกษาแพทย์ เพื่อหาสาเหตุของการแพ้ท้องมากผิดปกติ เช่น การตั้งครรภ์แฝด  ครรภ์ไข่ปลาอุก ต่อมไทรอยด์เป็นพิษ เป็นต้น ถ้าไม่มีความผิดปกติดังกล่าว แพทย์ก็จะนัดตรวจเป็นระยะๆจนอายุครรภ์หลัง 28 สัปดาห์ ก็จะนัดตรวจถี่ขึ้นเป็นทุก 2-3 สัปดาห์ และนัดทุก 1 สัปดาห์ในเดือนสุดท้าย โดยการตรวจแต่ละครั้งจะมีการชั่งน้ำหนัก ตรวจวัดความดันโลหิต ตรวจทางหน้าท้องเพื่อคลำขนาดมดลูก ท่าของทารก ประเมินการเจริญเติบโตของทารก ฟังเสียงการเต้นหัวใจทารก ตรวจว่า มีการบวมหรือไม่ และตรวจปัสสาวะหาว่ามีน้ำตาลหรือไข่ขาวปนออกมาหรือไม่ ให้ยาบำรุงเลือด และหรือแคลเซียม กลับไปรับประทาน ฉีดวัคซีนป้องกันบาดทะยัก ถ้ามารดายังไม่เคยได้รับมาก่อน ส่วนการทำอัลตร้าซาวด์เพื่อประเมินความผิดปกติของทารก แพทย์จะทำการตรวจในช่วงประมาณอายุครรภ์ 16-22 สัปดาห์ แต่ถ้ามารดาจำประวัติประจำเดือนได้ไม่แน่นอน ก็ควรได้รับการตรวจอัลต้าซาวด์เพื่อประเมินอายุครรภ์ตั้งแต่อายุครรภ์น้อยๆเนื่องจากมีความแม่นยำในการประเมินอายุครรภ์และคะเนวันคลอดได้แม่นยำกว่ามาตรวจตอนที่อายุครรภ์มากๆ ในปัจจุบันมีการพัฒนาการเทคนิคการตรวจอัลตร้าซาวด์ให้เห็นภาพชักเจนมากขึ้น คือ อัลตร้าซาวด์ 3 หรือ 4 มิติ ( 3D หรือ 4D) ซึ่งมีความจำเป็นในกรณีที่ต้องการตรวจความผิดปกติ หรือความพิการของทารกในครรภ์ในกลุ่มที่มีความเสี่ยง  


หน่วยอนามัยการเจริญพันธุ์และวางแผนครอบครัว
ภาควิชาสูติศาสตร์นรีเวชวิทยา
คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล
โทร.02-4194736-7