การตรวจสุขภาพก่อนสมรส

หนังสือความรู้ก่อนสมรสนอ ได้จัดทำโดยคณาจารย์หน่วยอนามัยการเจริญพันธุ์และงานวางแผนครอบครัว ภาควิชาสูติศาสตร์นรีเวชวิทยา อาจารย์หน่วยโลหิตวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ และอาจารย์ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล

การคุมกำเนิด

การคุมกำเนิด หมายถึง การป้องกันการเกิดหรือการปฏิสนธิ หรือการตั้งครรภ์ สรุปคือ ป้องกันหรือไม่ให้อสุจิในน้ำเชื้อของฝ่ายชายมีโอกาสเข้าไปผสมกับไข่ของฝ่ายหญิงภายในปีกมดลูก และป้องกันไข่ที่ผสมแล้วฝังตัวที่เยื่อบุโพรงมดลูก

เพศศึกษา

เพศสัมพันธ์ เป็นสิ่่งที่เกิดขึ้น เมื่อหญิงและชายมีความรักผูกพัน อยากอยู่ใกล้กันและกันและอยากสัมผัสกัน ความรู้สึกทางเพศเกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ ยกเว้นหญิงและชายนั้นอายุมากจริงๆก็อาจไม่มีความต้องการทางเพศ

การตั้งครรภ์

การตั้งครรภ์ คือ ช่วงระยะเวลาเริ่มหลังจากการปฏิสนธิ โดยที่ตัวอสุจิ (sperm) ผสม (conceive) กับ ไข่ (egg)ในสภาวะและเวลาที่เหมาะสม จนถึงการคลอด โดยในมนุษย์ใช้เวลาในการตั้งครรภ์ 36 สัปดาห์ หรือ 9 เดือน

สุขภาพ

สุขภาพกายและสุขภาพจิตเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นสำหรับทุกชีวิตการที่จะดำรงชีวิตอยู่อย่างปกติก็คือ การทำให้ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ จิตใจมีความสุข ความพอใจ ...

วันเสาร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ลดหุ่นให้เข้าที่


ลดหุ่นให้เข้าที่ ด้วย 35 วิธี

1.หลีกเลี่ยงการทานอาหารทอด ๆ และติดมัน
          อาหารทอด ๆ มาพร้อมกับน้ำมัน เช่นเดียวกับอาหารเนื้อสัตว์ติดมัน เช่น กุนเชียง หมูสามชั้นทอดกรอบ หนังไก่ กากหมู ถ้าไม่อยากอ้วน อดใจไว้

2.รับประทานผัก-ผลไม้มาก ๆ
          อย่าละเลยการรับประทานผัก-ผลไม้เด็ดขาดค่ะ เพราะผักผลไม้มีทั้งเส้นใย และสารอาหารต่าง ๆ ที่ดีกับคุณสาว ๆ แถมทานมากเท่าไหร่ก็ไม่อ้วนด้วย

3.ทานดาร์กช็อกโกแลต
          แนะนำให้คุณทานช็อกโกแลต แต่ต้องเป็นดาร์ก ช็อกโกแลตเท่านั้น ถึงจะมีสารแอนตี้ออกซิเดนท์ และเป็นประโยชน์กับร่างกายของคุณสาว ๆ

4. ดื่มน้ำอย่างน้อย 1 แก้วหลังตื่นนอน
          จำ และทำให้เป็นนิสัย เพราะการดื่มน้ำอย่างน้อย 1 แก้ว ทันทีหลังจากที่คุณเพิ่งตื่นนอน จะทำให้ร่างกายสดชื่นขึ้นอย่างรวดเร็ว และยังจะช่วยให้ระบบขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายทั้งหนักทั้งเบา ทำงานได้อย่างคล่องตัว

5.ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
          แทบจะทุกบทความ ที่แนะนำให้คุณดื่มน้ำเปล่าอย่างน้อยวันละ 8-12 แก้ว เพราะน้ำจะช่วยเร่งระบบการเผาผลาญ จึงช่วยกำจัดไขมันส่วนเกินให้คุณด้วย ซ้ำยังช่วยให้คุณอิ่มเร็วขึ้นด้วย หากคุณดื่มน้ำ 1 แก้ว ก่อนทานอาหารทุกครั้ง แต่อย่าชะแว้บ! ไปมอง "น้ำอัดลม" หรือ "น้ำผลไม้" เชียว ยกเว้น "น้ำมะนาวผสมน้ำผึ้ง" ที่เราแนะนำให้คุณดื่มได้

6.ทานอาหารเช้า
          จำได้ไหมว่า อาหารเช้าคืออาหารมื้อสำคัญที่สุดของวัน ถ้าหากคุณสาว ๆ พลาดอาหารเช้าในช่วงเวลา 6.00-10.00 น.ไปล่ะก็ คุณอาจจะรู้สึกหิวในมื้อต่อ ๆ ไปมากขึ้น ทีนี้ล่ะ คุณอาจจะเผลอตัวเผลอใจสวาปามอาหารที่อยู่ตรงหน้าโดยไม่ยั้ง แล้วจะลดน้ำหนักได้อย่างไรล่ะจ๊ะ

7.กินเพื่ออยู่ ไม่ใช่อยู่เพื่อกิน
          การไดเอท ไม่ได้สำคัญที่ว่าคุณทานอะไรเข้าไป แต่สำคัญที่ว่า ทำไมคุณถึงทานเข้าไปต่างหาก ฉะนั้นแล้ว หากใครชอบกินอาหารที่ไม่มีประโยชน์ เพียงเพื่ออยากทานสิ่งนั้น จงเปลี่ยนพฤติกรรมด่วนค่ะ ทานให้แต่พออิ่มจะดีกว่า และควรทานเมื่อเวลาที่หิวจริง ๆ 

8.อย่ากักตุนอาหารในตู้เย็น
          หากไม่อยากอ้วน กำจัดของกินในตู้เย็นโดยด่วน คุณจะได้ไม่เผลอหยิบติดมือมาทานได้ง่ายเกินไปนั่นเอง แต่ถ้าอยากจะมีอาหารติดในตู้เย็น แนะนำว่า ผักผลไม้ และบรรดาอาหารเพื่อสุขภาพทั้งหลายจะเวิร์กที่สุด

9.อย่ากินไป ดูทีวีไป
          รู้หรอกน่า ว่าคุณสาว ๆ ชอบกินนั่น กินนี่ กินจุบกินจิบทั้งวันไม่เป็นเวลา โดยเฉพาะเวลานั่งดูโทรทัศน์ หรือนั่งอ่านหนังสือ มักจะหาอะไรติดไม้ติดมือเข้าปากเป็นประจำ แต่นั่นแหละค่ะ การที่คุณสาว ๆ หยิบคุ้กกี้บ้าง ขนมปังกรอบบ้าง มันฝรั่งทอดบ้าง เข้าปากแต่ละที คุณจะเพลินจนลืมเรื่อง "อ้วน" ไปชั่วขณะเลยทีเดียว
10. ใส่ใจ "ข้าวกล้อง" กันให้มากขึ้น
         หากคุณทาน "ข้าวกล้อง" คุณจะได้ทั้งคาร์โบไฮเดรต วิตามิน เกลือแร่มากมายจากเยื่อหุ้มและจมูกข้าวที่ไม่ได้ถูกขัดสีออกไป ไม่เหมือน ข้าวขาวที่มีแต่คาร์โบไฮเดรตเท่านั้น
11.หาเพื่อนร่วมอุดมการณ์ไดเอท
         ลองหาเพื่อนที่มีแนวคิดเดียวกัน แล้วชวนมาลดความอ้วนด้วยกันดีกว่า เพราะการมีเพื่อนหัวอกเดียวกัน จะทำให้คุณมีกำลังใจขึ้นอีกเยอะเลย

12.ออกกำลังกายสำคัญสุด ๆ
          เพราะมันจะช่วยรักษาน้ำหนักให้คงที่ในระยะยาวได้ แถมยังจะช่วยให้คุณเผาผลาญแคลอรีให้กลายเป็นพลังงานได้คราวละมาก ๆ ด้วย หากคุณสาว ๆ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ลองหาเวลาเดินวันละ 30 นาที สัปดาห์ละ 5 วัน นอกจากคุณจะควบคุมน้ำหนักได้ดีแล้ว ยังจะมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรงอีกด้วย
 13."น้ำตาล" และ "เกลือ" จอมวายร้าย
          "น้ำตาล" เป็นสาเหตุที่ทำให้คุณมีปัญหาเรื่องน้ำหนัก เพราะฉะนั้นบรรดาของหวาน ลูกอม น้ำอัดลม เค้กต่าง ๆ จงงดเสีย!!! ให้ดื่มน้ำมะนาวแทน หรือทานน้ำตาลที่มาจากผลไม้จะดีกว่า เช่นเดียวกับ "เกลือ" ที่เราควรได้รับโซเดียมวันละไม่เกิน 1 ช้อนชาเท่านั้น แต่เกลือ หรือโซเดียมที่ผสมอยู่ในขนมต่าง ๆ อาหารฟาสต์ฟู้ดส์ รวมทั้งซุปที่ทานเข้าไปในแต่ละวัน ล้วนเกินปริมาณที่กำหนด จึงเป็นสาเหตุให้เกิดโรคความดันโลหิตสูง และทำให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพมากมายตามมาได้

 14.เคี้ยวช้า ๆ ได้พร้าเล่มงาม
           เพราะจะทำให้สมองมีเวลาที่จะส่งสัญญาณไปบอกให้ท้องรู้สึกอิ่มได้แล้ว กลับกันคนที่เคี้ยวเร็ว กินเร็ว จะไม่รู้สึกอิ่มแม้ทานอาหารหมดจานแล้ว และเมื่อท้องไม่อิ่ม คุณสาว ๆ ก็มักจะมองหาของหวานตบท้ายมื้ออาหาร ซึ่งจะนำความอ้วนมาสู่ร่างกายของคุณอย่างชัวร์ ๆ

 15.สรรหาจานสีเข้ม ๆ
          มีผลการศึกษาระบุว่า การใช้จานอาหารสีสดใสจะช่วยกระตุ้นให้คุณอยากทานอาหารมากขึ้น กลับกันหากคุณใช้จานอาหารสีเข้ม ๆ โดยเฉพาะสีน้ำเงิน จะทำให้คุณลดความอยากอาหารลงไปได้ และนี่เองจะช่วยสกัดกั้นไม่ให้คุณทานมาก จะได้ไม่ต้องลดน้ำหนักอย่างเอาเป็นเอาตายภายหลัง

 16. ใช้ภาชนะให้เล็กลง
          นอกจากใช้ภาชนะสีเข้ม ๆ แล้ว การเปลี่ยนจานให้เล็กลง ก็เป็นวิธีทางจิตวิทยา ที่ทำให้เรารู้สึกว่า อาหารมีปริมาณมากขึ้น ทำให้เรารู้สึกอิ่มได้เร็ว ไม่อยากหาอะไรทานอีก
 17.ลด "ชา" , "กาแฟ" , "ครีมเทียม" 
          การรับประทาน "ชา" , "กาแฟ" มากกว่าสองแก้วต่อวัน อาจทำให้คุณอ้วนได้ โดยเฉพาะหากใครชอบใส่ "ครีมเทียม" ในกาแฟ จะทำให้คุณได้รับแคลอรี่มากขึ้นโดยไม่รู้ตัว รวมทั้งกาแฟสดทั้งหลายด้วยล่ะ

 18.ระวัง!!! สลัดน้ำข้น
          สลัดน้ำข้นนั้นอุดมไปด้วยครีมนม และไขมันนม ซึ่งหากรับประทานเข้าไปมาก ๆ แม้จะทานกับผักก็เถอะ ร้อยทั้งร้อย "อ้วน" อย่างไม่ต้องสงสัย

 19.หลีกเลี่ยงไข่แดง ให้ทานไข่ขาว
          ไข่แดง อุดมไปด้วยคอเลสเตอรอล ที่เป็นบ่อเกิดของโรคหัวใจ และโรคอ้วน แต่ไข่ขาวไม่มีคอเลสเตอรอล ดังนั้น ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานไข่แดง หรือทานในปริมาณน้อย และหันมาทานไข่ขาวแทน นอกจากนี้ หากวันไหนทานไข่มาก ๆ ก็ควรงดการทานอาหารที่มีไขมันสูงในมื้ออื่น ๆ ของวันเดียวกันด้วย เพื่อไม่ให้มีคอเลสเตอรอลสะสมในร่างกายมากเกินไป

 20.อย่าให้รางวัลตัวเอง ด้วยการไปทานอาหาร
            เพราะการที่คุณให้รางวัลกับความสำเร็จของตัวเอง ด้วยการไปรับประทานอาหารตามใจปาก อาจทำให้คุณอ้วนได้เหมือนกัน ทางที่ดีให้รางวัลกับตัวเองด้วยการทำสิ่งที่ตัวเองปรารถนา ยกเว้นเรื่องกิน!!! เช่น ไปช้อปปิ้ง ไปเที่ยวพักผ่อน นวดหน้า ทำผม ขัดผิว ฯลฯ จะดีกว่า
 21.จำไว้ อย่าอด
          เพราะยิ่งคุณอดอาหารเท่าไหร่ จะมีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด แถมยังทำให้คุณหิวมากขึ้นมากขึ้น จนทำให้คุณสามารถทานได้มากกว่าปกติในมื้อต่อไป

 22.แบ่งทานบางส่วน ไม่ต้องทานให้หมด
         สำหรับกฎเกณฑ์ของการลดความอ้วน คุณไม่จำเป็นต้องทานหมดหรอกค่ะ โดยคุณควรจะแบ่งอาหารในจานไว้ 4 ส่วน แล้วทานเพียงแค่ 3 ส่วนก็เพียงพอแล้ว

 23.อย่าทานอะไรหลังมื้อเย็นอีก
          ไม่ดีแน่ หากคุณทานขนม หรืออาหารอะไรหลังจากคุณทานอาหารเย็นเรียบร้อยแล้ว ทางที่ดีคือ ควรจะให้ร่างกายได้พักผ่อนจากการย่อยอาหาร แล้วไปเริ่มทำงานใหม่ในมื้อเช้าของวันรุ่งขึ้นจะดีกว่า
 24.นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
          ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อค่ะว่า หากคุณพักผ่อนนอนหลับไม่เพียงพอ อาจจะมีผลกระทบต่อฮอร์โมนเลปติน ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมความอยากอาหาร ดังนั้น อาจทำให้คุณยับยั้งชั่งใจในการรับประทานไม่อยู่ และอ้วนขึ้นได้ นอกจากนี้ หากคุณนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอแล้ว ก็สามารถช่วยให้ร่างกายกำจัดไขมันส่วนเกินออกไปได้เช่นกัน

25. ทานหลาย ๆ มื้อ (เล็ก ๆ) ในหนึ่งวัน
          ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่า การทานอาหาร 4-5 มื้อเล็ก ๆ ในแต่ละวัน จะช่วยควบคุมระบบการเผาผลาญ และความอยากอาหารได้ดีกว่าการทานอาหารมื้อปกติ 3 มื้อ โดยระหว่างมื้ออาหาร คุณอาจทานสแน็ก หรือผลไม้ เพื่อให้คุณอิ่ม และไม่หิวมากจนกระทั่งถึงมื้อต่อไป ทีนี้ในมื้อต่อไป คุณก็จะทานอาหารได้น้อยลงแล้ว

 26. โปรตีน ตัวช่วยลดความอ้วน
          มีคำแนะนำให้ในแต่ละมื้ออาหารต้องมีอาหารประเภทโปรตีนผสมด้วย เพราะโปรตีนจะช่วยคงสภาพกล้ามเนื้อ และกระตุ้นให้ร่างกายเผาผลาญไขมันได้ดีขึ้น โดยโปรตีนที่แนะนำก็คือ อาหารจำพวกถั่ว นม โยเกิร์ตนั่นเอง

 27.เผ็ดหน่อย อร่อยดี
          การศึกษาพบว่า "พริก" ช่วยเพิ่มอุณหภูมิในร่างกาย และช่วยในการเผาผลาญ จึงมีประโยชน์เรื่องการควบคุมน้ำหนัก นอกจากนี้ การกินพริก จะไม่ทำให้รู้สึกอยากกินหวานอีก รับรองว่า กินพริกแล้ว ลืมเรื่องความอ้วนไปได้เลย

 28.ดื่มชาเขียว
          มหาวิทยาลัยสวิสเซอร์แลนด์พบว่า การดื่มชาเขียวเป็นทางหนึ่งที่ช่วยลดน้ำหนัก เพราะจะช่วยเรื่องการเผาผลาญแคลอรี่ได้ ดังนั้นควรพยายามดื่ม 3 ถ้วยต่อวัน แต่ขอเตือนไว้ก่อนว่า ต้องเป็นชาเขียวบริสุทธิ์จริง ๆ ไม่ใช่ชาเขียวในขวดที่มีส่วนผสมของน้ำตาลในปริมาณมาก แบบนี้ลดความอ้วนไม่ได้แน่นอนค่ะ

 29. ดื่มนม ก็ช่วยลดความอ้วน
          หากไม่ชอบดื่มชาเขียว จะลองหันมาดื่มนมก็ช่วยลดความอ้วนได้ เพราะนมเป็นแหล่งอุดมไปด้วยแคลเซียม ซึ่งมีการศึกษาพบว่า การที่ร่างกายได้รับวิตามินดีและแคลเซียมสูง จะช่วยให้น้ำหนักของเราลดลงได้ แถมนมยังทำให้เรารู้สึกอิ่มจนไม่อยากทานอาหาร หรือเครื่องดื่มอะไรที่มีน้ำตาลด้วย

 30.อ่านฉลากรายละเอียดของผลิตภัณฑ์
          ก่อนซื้ออาหารหรือเครื่องดื่ม ลองอ่านรายละเอียดที่ติดอยู่ข้างผลิตภัณฑ์ หีบห่อ ฯลฯ ดูก่อนทุกครั้ง เพราะมันจะช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงการซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีแคลอรีสูง หรือไขมันสูงได้
 31..จดบันทึกประจำวันให้เป็นนิสัย
          แต่ละวันคุณกินอะไรไปบ้าง ลองจดบันทึกไว้ทุก ๆ สัปดาห์ดูสิ เพราะมันจะช่วยให้คุณยับยั้งชั้งใจ และควบคุมพฤติกรรมการรับประทานอาหารได้ดีเลยทีเดียว

 32.ทานผลไม้สด ดีกว่าผลไม้ดอง หรือน้ำผลไม้ปั่น
          น้ำผลไม้ปั่นมักผสมน้ำเชื่อม น้ำตาล ทำให้คุณสาว ๆ ได้รับน้ำตาลเกินความจำเป็น ขณะเดียวกัน ผลไม้ดอง ก็อาจมีสารแซคคารีน หรือที่เรียกว่าขัณฑสกรผสมอยู่ ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพ เพราะฉะนั้น ถ้าอยากได้วิตามินที่ครบถ้วน เลือกทานผลไม้สดดีกว่าแน่นอนค่ะ

 33.ความเครียด คือ จุดอ่อน
          เมื่อฮอร์โมนความเครียดเพิ่มขึ้น ก็ทำให้ความต้องการอาหารในร่างกายเพิ่มขึ้น หรือทำให้หิวนั่นเอง แถมหิวบ่อยชนิดที่ไม่รู้ตัวเลยด้วย เพราะคนเครียดส่วนใหญ่มักจะจมอยู่กับความเครียด จนลืมสังเกตพฤติกรรมการกินของตัวเอง

 34.หัวเราะ ช่วยลดความอ้วน
          งานวิจัยระบุว่า การหัวเราะจะทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น ขณะเราหัวเราะ จะหายใจเอาออกซิเจนเข้าไปได้มากขึ้น ทำให้กล้ามเนื้อท้องได้ออกกำลังไปในตัว

35.ชั่งน้ำหนักอาทิตย์ละครั้ง
          ไม่จำเป็นที่คุณจะรีบร้อน ชั่งน้ำหนักตัวทุก ๆ วัน เพราะหากคุณลดไม่ได้ดังใจปรารถนาแล้ว จะยิ่งทำให้คุณเครียดเสียเปล่า ๆ เพราะฉะนั้น ชั่งน้ำหนัก และเปลือยกายสำรวจตัวเองในห้องน้ำอาทิตย์ละครั้งก็เพียงพอแล้วล่ะ
ลองไปใช้กันดู    แล้วก็ต้องปฏิบัติตามอย่างสม่ำเสมอด้วยล่ะ ถึงจะเห็นผลเร็ว

ออกกำลังเพื่อตัวคุณ


การออกกำลังกาย

หมายถึง กิจกรรมที่กระทำอย่างต่อเนื่อง แล้วทำให้ร่างกายมีสุขภาพที่ดี การออกกำลังกายจะทำให้กล้ามเนื้อ หัวใจและหลอดเลือดแข็งแรง ป้องกันโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และฯลฯ

การออกกำลังกายไม่ได้หมายถึงการต้องไปแข่งขันกีฬากับผู้อื่น แต่การออกกำลังกายเป็นการแข่งขันกับตัวเอง


ไม่มีเวลา ไม่มีสถานที่ ปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพ ปัญหาเกี่ยวกับอากาศ ฯลฯทั้งหมดเป็นข้ออ้างที่จะไม่ออกกำลังกาย แต่ลืมไปว่าการออกกำลังกาย อาจจะให้ผลดีมากกว่าสิ่งที่เขาเป็น


การออกกำลังให้สุขภาพดีไม่ต้องใช้เวลามาก เพียงแค่วันละราวๆ 45 นาทีก็พอ และมีเพียงพื้นที่ในการเดินก็พอแล้ว การออกกำลังจะทำให้รูปร่างดูดี กล้ามเนื้อแข็งแรง ป้องกันโรคหัวใจ ป้องกันโรคกระดูกพรุน ป้องกันโรคอ้วน การออกกำลังกายทำให้ร่างกายสดชื่น มีพลังที่จะทำงานและต่อสู้กับชีวิต นอกจากนั้นยังสามารถลดความเครียดได้ด้วย

อาหารที่มีผลดีต่อสุขภาพ

อาหารที่มีผลดีต่อสุขภาพ

 
1. เบอร์รี่

          แม้ว่าผลไม้ตระกูลเบอร์รี่จะเคยเป็นผลไม้
ที่หาทานได้ยากในบ้านเรา เพราะเดี๋ยวนี้เค้ามีขาย
กันเกลื่อนตามห้างสรรพสินค้า และท้องตลาดบาง
แห่งคะว่า ผลไม้ตระกูเบอร์รี่นั้น ช่วยในเรื่องของ
ระบบย่อยอาหารได้มากเลยทีเดียว แถมยังมี
แอนตี้อ๊อกซิแดนท์ช่วยให้ผิวอ่อนเยาว์ และที่สำคัญ 
ยังมีวิตามิน C ที่ช่วยในเรื่องผิวพรรณและหวัดอีกด้วย

  

2. ไข่ไก่
          ไข่ไก่เป็นสุดยอดอาหารที่หาง่ายมาก ๆ 
แถมยังราคาถูกอีกแน่ะ คุณ ๆ รู้ไหมว่า ไข่ไก่นั้น
เป็นแหล่งของโปรตีนคุณภาพสูง ที่ทำให้คุณได้
พลังงานแต่ไม่อ้วน แถมมีประโยชน์ในการบำรุง
สายตา อ้อ แถมยังมีลูทีนที่จะป้องกัน
ผิวคุณจากการทำลายของแสงแดดอีกด้วย

   


3. ถั่ว

          ถั่วเป็นแหล่งของเหล็ก ซึ่งเป็นสารอาหารที่ช่วยใ
การส่งผ่านออกซิเจนจากปอดไปยังเซลล์ต่าง ๆ ของร่างกาย 
โดยในถั่ว 1 ถ้วย จะให้ธาตุเหล็กประมาณ 16 มิลลิกรัม 
ซึ่งถือว่าเป็นปริมาณที่สูงเลยทีเดียว นอกจากนี้ ถั่วยังมี
ไฟเบอร์ช่วยให้ร่างกายขับถ่ายได้ง่ายอีกด้วย

 
4. อัลมอนต์ แม็คคาเดเมีย และมะม่วงหิมพานต์

          เป็นอาหารที่อุดมไปด้วยที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ
หัวใจ จากการศึกษาของนักโภชนาการ พบว่า ผู้ที่
รับประทานเมล็ดพืชเหล่านี้จะมีอายุยืนกว่าผู้ที่
ไม่ได้ทานถึง 2 ปีครึ่งเลยทีเดียว นอกจากนี้ ยังมี
โอเมก้า 3 เอแอลเอ ที่จะส่งผลให้อารมณ์ดีขึ้น 
ที่สำคัญยังช่วยลดคอเลสเตอรอลที่ไม่ดีด้วย

  


 
5. ส้ม

          เป็นแหล่งวิตามิน C คุณภาพ ที่มีประโยชน์ต่อการสร้าง
เซลล์เม็ดเลือดขาว และช่วยสร้างภูมิต้านทานโรค รวมทั้งยัง
มีไฟเบอร์สูง เป็นแหล่งของแอนตี้อ๊อกซิแดนท์ ที่จะช่วยปกป้อง
เซลล์ผิวจากการถูกทำลายและเสริมสร้างคอลลาเจนในผิว 
เรียกว่าคุณประโยชน์ครบครันเลยทีเดียว




6. มันเทศ

          อาหารที่หาได้ง่าย แถมยังให้ประโยชน์มากมายกับ
สุขภาพอีก มันเทศเป็นแหล่งเบตาแคโรทีนชั้นดีที่ช่วยในการบำรุงสายตา เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน และที่หลาย ๆ คนคิดไม่ถึง 
คือ มันเทศมีสารต้านมะเร็งสูงอีกด้วยค่ะ

 
7. บร็อคโคลี่

          เป็นแหล่งของวิตามินซี เอ และเค เป็นผักที่มี
เบต้าแคโรทีนสูง ช่วยบำรุงสายตา และมีสาร
ไอโซธิโอไซยาเนทส์ (Isothiocyanates) ที่ช่วยต่อต้าน
มะเร็งปอด รวมถึงมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ นอกจากนี้ 
วิตามินเคยังเป็นสารอาหารที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรง
ของกระดูกด้วย

 
8. ชา

          แม้ว่าชาจะเป็นหนึ่งในเครื่องดื่มที่ไม่ได้ให้ผลดี
ต่อสุขภาพเท่าไหร่ แต่รู้ไหมว่า การดื่มชาในปริมาณที่
พอเหมาะ จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นอัลไซเมอร์ 
มะเร็ง และทำให้สุขภาพฟันและกระดูกแข็งแรงขึ้น เพราะ
ในชานั้นมีสารแอนตี้อ๊อกซิแดนท์ที่เรียกว่า ฟลาโวนอยด์
(flavonoids) ที่ให้ผลลัพธ์ที่ดีต่อสุขภาพ

 

9. คะน้า

          มีสารเบต้าแคโรทีนสูง ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิด
มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งลำไส้ มะเร็งปอด รวมถึงมีวิตามิน
ที่ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ สร้างภูมิต้านทานโรคที่ดี นอกจาก
นี้ยังมีแคลเซียมเสริมสร้างการทำงานของกระดูก

   
 


10. โยเกิร์ต

  อาหารสุขภาพที่หลาย ๆ คนมักจะซื้อไว้ติดบ้าน เอาไว้ทาน
ยามหิว และนั่นเป็นสิ่งที่ดีแล้วค่ะ เพราะในโยเกิร์ตนั้นมี
สารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายมากมาย ไม่ว่าจะเป็น โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส สังกะสี วิตามินบี 12 และโปรตีน ดังนั้น ถ้าคุณทานโยเกิร์ต
ให้ได้วันละ 1 ถ้วย จะทำให้สุขภาพคุณดี

   
 
 
11. ข้าวโอ๊ค

         ดีต่อสุขภาพของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ 
ต่อสมองของเราด้วย ข้าวโอ๊ตมีใยอาหารและก็มีโปรตีน
อยู่พอสมควร หรือแม้แต่โอเมก้า-3 ก็ยังมีอีกจำนวนหนึ่
การกินข้าวโอ๊ตตอนเช้าจะช่วยให้เราแจ่มใส และ
ไม่ง่วงนอนแม้ในยามบ่ายด้วย

 
12. นม

นมมีโปรตีน น้ำตาลแลคโตส และวิตามินต่างๆ โดยเฉพาะ
วิตามินเอ  จะช่วยในการมองเห็นและบำรุงเนื้อเยื่อ  
และวิตามินบีสอง จะช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโต และเนื้อ
เยื่อต่างๆ ทำหน้าที่เป็นปกติ

  


13. น้ำ

ประโยชน์ของน้ำมันตับปลา





น้ำมันตับปลา





พูดถึงอาหารเสริมยอดนิยมที่หลายๆคนให้ความสำคัญ และสรรหามากินมากเป็นอันดับแรกๆก็คงจะหนีไม่พ้นเจ้า “น้ำมันตับปลา”  ซึ่งเป็นอาหารเสริมชนิด น้ำมันที่สกัดได้จากปลาทะเลน้ำลึกในเขตหนาว อาหารเสริมชนิดแรกๆที่ เข้ามามีบทบาทในวงการสุขภาพของไทยหลายปีมาแล้วนั่นเอง แต่ถึงแม้ว่าน้ำมันตับปลาจะเข้ามามีชื่อเสียงในประเทศไทยนานพอสมควร อย่างไรก็ตามหลายๆคนก็ยังไม่ทราบเลยด้วยซ้ำว่าน้ำมันตับปลาคืออะไร มีสรรพคุณอะไร แล้วใช้ได้ผลจริงหรือไม่

สรรพคุณของโอเมก้า-3 คืออะไร ?
      โอเมก้า-3 ซึ่งเป็นกรดไขมันที่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ ซึ่งตามปกติแล้วกรดไขมันจะแบ่งเป็นสองประเภทคือที่ร่างกายสามารถสร้างขึ้นมา ได้เองและร่างกายสร้างขึ้นมาเองไม่ได้ และโอเมก้าสามนี้ก็ถือว่าอยู่ในประเภทหลัง เพราะฉะนั้นจึงจะหาได้จากการรับประทานอาหารภายนอกเท่านั้น     
       โอเมก้า-3 นั้นก็เป็นสารอาหารที่จะพบได้ในปลาทะเลน้ำลึกอย่างที่บอกไป ซึ่งเราจะหาได้ง่ายในรูปของอาหารเสริม ซึ่งโอเมก้า-3 นี้นั้นก็มีความสามารถที่จะช่วยบำรุงร่างกายในหลายๆเรื่องด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทำงานของประสาทตาในวัยทารก ซึ่งถ้าคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ได้รับโอเมก้า-3เข้าไปอย่างต่อเนื่องจะส่งผล ต่อลูกในครรภ์ให้มีการพัฒนาจอตาและสมองที่ดีขึ้น สำหรับในวัยเด็กนั้นการได้รับโอเมก้า-3 จะช่วยทำให้พัฬนาการทางด้านความคิดและสมองดีขึ้นเนื่องจากเซลล์ประสาทและ เซลล์สมองได้รับการบำรุง ส่วนในวัยทำงานนั้นโอเมก้า-3จะช่วยลดระดับความเครียดลงได้ซึ่งจะทำให้การทำ งานราบรื่นและมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม

สรรพคุณของโอเมก้า-6 คืออะไร ?
     นอกจากโอเมก้า-3ที่เราจะพบได้ในอาหารเสริมน้ำมัน ตับปลานั้นก็ยังมีโอเมก้า-6 อีกตัวที่มีความสำคัญและมีประโยชน์ ซึ่งสรรพคุณของโอเมก้า-6ก็คือ ช่วยลดอาการผิวแห้งและลดอาการอักเสบในร่างกายได้ เพราะฉะนั้นใครที่มีปัญหาผิวหนังไม่อ่อนนุ่ม ผิวหนังแตก ผิวแห้งการรับประทานน้ำมันตับปลาก็ถือว่าเป็นการเลือกรับประทานอาหารเสริม ที่ถูกทางแล้วครับ

วิตามินที่ต้องการ

วิตามิน
วิตามิน เป็นสารอินทรีย์ ที่ สิ่งมีชีวิต จำเป็นต้องได้รับในปริมาณเล็กน้อย สำหรับการเติบโต ขยายพันธุ์ และช่วยให้มีสุขภาพดี ถ้าสิ่งมีชีวิตขาดวิตามินตัวใดตัวหนึ่งจะมีอาการป่วยซึ่งมีลักษณะเฉพาะขึ้นกับวิตามินที่ขาด



 
วิตามินแบ่งออกเป็น 2 จำพวก คือ
·         วิตามินที่ละลายในไขมัน    ได้แก่ A, D, E, K
·         วิตามินที่ละลายในน้ำ     ได้แก่ B, C
ชนิด & สรรพคุณของวิตามินต่างๆ

เกลือแร่ที่จำเป็นต่อร่างกาย

เกลือแร่
เกลือแร่ (Dietary mineral) มีบทบาทและหน้าที่สำคัญในร่างกายหลายอย่างโดยเฉพาะอย่างยิ่งทำหน้าที่เป็นโครงสร้างของร่างกาย เป็นองค์ประกอบของ เซลล์เนื้อเยื่อและเส้นประสาท เป็นองค์ประกอบของเอนไซม์ ฮอร์โมน และวิตามิน นอกจากนี้ เกลือแร่ยังทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อในทุกอวัยวะ จากความสำคัญและหน้าที่ ดังกล่าวนั้น จะเห็นว่า เกลือแร่เป็นสารอาหารที่มีความสำคัญยิ่งต่อร่างกาย ซึ่งร่างกายต้องได้ รับเพียงพอ ร่างกายจึงจะเจริญเติบโตได้อย่างเต็มที่และแข็งแรง อาหารทั่วไปที่เป็นแหล่งของเกลือแร่ทั้งชนิดหลักและชนิดปริมาณน้อยแตกต่าง กันออกไปแล้วแต่ชนิดของอาหาร ตัวอย่าง เกลือแร่ที่มีความสำคัญต่อร่างกายประกอบด้วย แคลเซียม ฟอสฟอรัส ไอโอดีน เหล็ก แมกนีเซียม สังกะสี ทองแดง และโพแทสเซียม
ร่างกายมีเกลือแร่ 4%ของน้ำหนักร่างกายทั้งหมด เกลือแร่ที่ร่างกายต้องการมีดังต่อไปนี้





ไอโอดีน ส่วนใหญ่ไอโอดีนจะอยู่ในต่อมไทรอยด์ ซึ่งอยู่ที่คอส่วนล่าง ต่อมไทรอยด์เป็นต่อมไร้ท่อ มีหน้าที่สังเคราะห์ฮอร์โมนไทรอกซิน ถ้าหากร่างกายมีการขาดไอโอดีนตั้งแต่เด็ก จะทำให้เป็นโรคเอ๋อ ร่างกายแคระแกร็น และเป็นโรคคอพอก อาหารที่มีไอโอดีนได้แก่ อาหารทะเล และเกลืออนามัย วัยรุ่น หญิงมีครรภ์ และหญิงให้นมบุตรต้องการไอโอดีน สูง
แคลเซียม เป็นส่วนประกอบสำคัญของกระดูกและฟัน ช่วยควบคุมการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ และหัวใจ เป็นธาตุที่จำเป็นในการแข็งตัวของเลือด มีอยู่มากในนม และเนื้อสัตว์ประเภทที่กินได้ทั้งกระดูก เช่น กุ้งแห้ง ปลาเล็กปลาน้อย หญิงมีครรภ์ หญิงให้นมบุตร และทารกที่กำลังเจริญเติบโตไปจนถึงวัยรุ่นควรกินแคลเซียมมากกว่าปกติ
แมกนีเซียม มีมากในอาหารหลายชนิด เช่น ถั่ว ข้าวแดง ข้าววีท ข้าวบาร์เลย์ ข้าวโพด ผักใบเขียว(หากหุงต้มนานเกินไปจะทำให้แมกนีเซียม หลุดออกไปหมด) แมกนีเซียมมีประโยชน์ดังนี้ทำงานร่วมกับแคลเซียม หากร่างกายขาดแมกนีเซียม ฟันจะไม่แข็งแรง  การที่ร่างกายมีแมกนีเซียมต่ำ จะทำให้ความดันโลหิตสูง และเป็นโรคหัวใจ   ผู้ใหญ่จะต้องการแมกนีเซียมประมาณ 300-400 มิลลิกรัมต่อวัน

เหล็ก เป็นตัวนำออกซิเจนไปยังส่วนต่างๆของร่างกาย เป็นส่วนประกอบของเม็ดเลือดแดงในส่วนที่เรียกว่า ฮีโมโกลบินซึ่งเป็นตัวพาออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย และพาคาร์บอนไดออกไซด์กลับไปยังปอดเพื่อขับถ่ายออกในรูปการหายใจ ในประเทศร้อน เมื่อเหงื่อออกมาก อาจมีการสูญเสียธาตุเหล็กออกไปกับเหงื่อได้ อาหารที่มีเหล็กมากได้แก่ เครื่องในสัตว์ ถั่วเมล็ด ผักใบเขียวบางชนิด

ซีลีเนียม เป็นธาตุที่มีสมบัติเหมือนกำมะถัน ร่างกายต้องการซีลีเนียม น้อยมาก หากได้รับมากเกินไปจะเป็นอันตราย อาหารที่มีซีลีเนียมมาก ได้แก่ ข้าวสาลี ตับ ไต ปลาทูน่า ประโยชน์ของซีลีเนียมมีดังนี้
มีการทำงานสัมพันธ์กันกับวิตามินอี ซึ่งมีผลในการป้องกันโรคหัวใจ  เป็นองค์ประกอบของเอนไซม์ชนิดหนึ่งชื่อว่า ซีลีโนโปรตีน เอนไซม์นี้ป้องกันไม่ให้สารพิษชื่อว่า ฟรีแร
ดิกัล เกิดขึ้นในร่างกายมนุษย์  ช่วยลดการแพ้เคมีภัณฑ์ต่างๆได้  ช่วยลดการแพ้มลพิษจากอากาศ  ช่วยป้องกันโรคมะเร็งหลอดอาหาร

สังกะสี เป็นธาตุที่เราต้องรับเป็นประจำในปริมาณที่น้อยมาก เพราะถ้ามากเกินไปก็จะก่อให้เกิดอันตราย อาหารที่มีสังกะสีมาก ได้แก่ ตับ ข้าวสาลี ข้าวโพด ถั่ว หอยนางรม ประโยชน์ของสังกะสีมีดังนี้    หากกินอาหารที่มีสังกะสีในปริมาณต่ำมาก จะทำให้เจริญเติบโตช้า ขนร่วงมีความสำคัญในการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตและโปรตีน   เป็นส่วนประกอบของเอนไซม์อินซูลิน ซึ่งช่วยในการเผาผลาญน้ำตาลที่เรากินเข้าไป ซึ่งผู้ป่วยโรคเบาหวาน ร่างกายจะมีสังกะสีต่ำกว่าคนปกติ   หากขาดจะเป็นโรคตาบอดสี (เรตินาในตาของคนจะมีสังกะสีอยู่ในปริมาณสูง)ช่วยเพิ่มให้รู้สึกว่าอาหารหวานยิ่งขึ้น ทำให้คนกินหวานน้อยลงบำรุงรักษาผิวหนัง และสิวฝ้า

โครเมียม  ร่างกายต้องการน้อยมาก ถ้าได้รับมากเกินไปก็จะเกิดอันตราย อาหารที่มีโครเมียมมาก ได้แก่ ไข่แดง ตับ หอย มันเทศ ยีสต์หมักเหล้า ประโยชน์ของโครเมียมมีดังนี้   ช่วยในการเผาผลาญน้ำตาล    ช่วยป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน

หน้าที่โดยทั่วไป

1.   รักษาความสมดุลของกรดและด่างในร่างกาย
2.   เป็นตัวเร่งสำหรับปฏิกิริยาทางชีว
3.   เป็นส่วนประกอบที่สำคัญของร่างกาย
4.   รักษาความสมดุลของน้ำในร่างกาย
5.   ช่วยในการรับ-ส่งประสาทความรู้สึก
6.   ควบคุมการหดรัดตัวของกล้ามเนื้อ
7.   ช่วยในการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อ

ประโยชน์ของการดื่มน้ำ

การดื่มน้ำ
นอกจากจะทําให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใสแล้ว ยังทําให้ระบบต่าง ๆ ภายในร่างกายทํางานได้ดีอีกด้วย ใน 1 วัน ควรดื่มเท่าไหร่ ?
ในทุกๆวัน ร่างกายจะต้องสูญเสียน้ำผ่านทางการหายใจและการขับถ่าย จึงเป็นสิ่งที่จําเป็นมากที่จะต้องรับน้ำเข้าไปเพื่อทดแทนส่วนที่เสียไป และโดยปกติเราจะเสียน้ำจากการปัสสาวะเฉลี่ยวันละประมาณ 1.5 ลิตร และอีกเกือบถึง 1 ลิตรสำหรับ การหายใจและเหงื่อ ซึ่งถ้าคุณดื่มน้ำให้ได้วันละ 2 ลิตร (ประมาณ 8 แก้ว) ก็จะช่วยทดแทนการสูญเสียน้ำในส่วนนี้ได้
แต่สําหรับปริมาณน้ำที่ควรดื่มให้ได้ภายใน 1 วันเพื่อสุขภาพที่ดีของตัวคุณเองแล้ว 
ถ้าเป็นหนุ่ม ๆ ควรดื่มให้ได้วันละ 3 ลิตร (ประมาณ 13 แก้ว) 
ส่วนสาว ๆ วันละ 2.2 ลิตร (ประมาณ 9 แก้ว) 

สําหรับสาวสปอร์ตี้เกิร์ จะต้องดื่มน้ำในปริมาณที่เยอะกว่าคนปกติ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับชนิดของกิจกรรมที่ทําด้วย ถ้าคุณออกกําลังกายในช่วงสั้น ๆ ก็ควรจะดื่มน้ำเพิ่มเข้าไปครั้งละ 1-2 แก้วหลังจากออกกําลังกายแล้ว แต่ถ้าเป็นช่วงยาว ๆ ละก็เพิ่มขึ้นอีกสัก 2-3 แก้วก็ น่าจะเพียงพอแล้ว


ดื่มตอนไหน เวิร์กสุด ๆ 
>> ตื่นนอนตอนเช้า 1 แก้ว (400 ซี.ซี.) เพราะเป็นช่วงที่มีความเข้มข้นของเลือดสูง เลือดจะมีลักษณะขาดน้ำ 
>> ตอนสายๆ 2 แก้ว (เวลาประมาณ 9 โมงถึง 10 โมงเช้า) ช่วงนี้เป็นช่วงที่มีของเสียเกิดขึ้น เพราะร่างกายได้ทํางานไประยะหนึ่งแล้ว ฉะนั้น จึงควรดื่มน้ำเพื่อมาชําระของเสียเหล่านั้นออกไป 
>> ตอนบ่ายๆ 3 แก้ว (เวลาประมาณบ่ายโมงถึงบ่ายสอง) 
>> ตอนเย็น 3 แก้ว (เวลาประมาณ 1 ทุ่มถึง 2 ทุ่ม) 
>> ก่อนนอน ให้ดื่มน้ำอีก 1 แก้ว เพื่อให้น้ำที่ดื่มไหลเวียนชะล้างสิ่งตกค้างในลําไส้และกระเพาะอาหาร และยิ่งถ้าเป็นน้ำอุ่นด้วยแล้วจะยิ่งช่วยให้หลับสบายยิ่งขึ้น