การตรวจสุขภาพก่อนสมรส

หนังสือความรู้ก่อนสมรสนอ ได้จัดทำโดยคณาจารย์หน่วยอนามัยการเจริญพันธุ์และงานวางแผนครอบครัว ภาควิชาสูติศาสตร์นรีเวชวิทยา อาจารย์หน่วยโลหิตวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ และอาจารย์ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล

การคุมกำเนิด

การคุมกำเนิด หมายถึง การป้องกันการเกิดหรือการปฏิสนธิ หรือการตั้งครรภ์ สรุปคือ ป้องกันหรือไม่ให้อสุจิในน้ำเชื้อของฝ่ายชายมีโอกาสเข้าไปผสมกับไข่ของฝ่ายหญิงภายในปีกมดลูก และป้องกันไข่ที่ผสมแล้วฝังตัวที่เยื่อบุโพรงมดลูก

เพศศึกษา

เพศสัมพันธ์ เป็นสิ่่งที่เกิดขึ้น เมื่อหญิงและชายมีความรักผูกพัน อยากอยู่ใกล้กันและกันและอยากสัมผัสกัน ความรู้สึกทางเพศเกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ ยกเว้นหญิงและชายนั้นอายุมากจริงๆก็อาจไม่มีความต้องการทางเพศ

การตั้งครรภ์

การตั้งครรภ์ คือ ช่วงระยะเวลาเริ่มหลังจากการปฏิสนธิ โดยที่ตัวอสุจิ (sperm) ผสม (conceive) กับ ไข่ (egg)ในสภาวะและเวลาที่เหมาะสม จนถึงการคลอด โดยในมนุษย์ใช้เวลาในการตั้งครรภ์ 36 สัปดาห์ หรือ 9 เดือน

สุขภาพ

สุขภาพกายและสุขภาพจิตเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นสำหรับทุกชีวิตการที่จะดำรงชีวิตอยู่อย่างปกติก็คือ การทำให้ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ จิตใจมีความสุข ความพอใจ ...

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ วางแผนครอบครัว แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ วางแผนครอบครัว แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2556

การปรับชีวิตคู่ คิดให้ดีก่อนตัดสินใจแต่งงาน

คิดให้ดีก่อนตัดสินใจแต่่งงาน

          ทุกๆคนที่ผ่านวัยหนุ่มสาว มักเคยมีเพื่อนคู่ใจแต่พอคบดูใจกันสักพักก็อาจมีการเปลี่ยนคู่และ
แต่่งงานกับคนอื่น บางคนอาจไม่เคยมีเพื่อนคู่ใจเลยเพราะว่าไม่มีใครที่คิดว่าเหมาะะสมหรือถูกใจเรา การเลือกคู่มีหลายทฤษฏีที่ศึกษาว่า ควรจะเลือกคู่อย่างไรเลือกแบบไหนเพื่อให้ชีวิตคู่มีความสุข เช่น    
     1.เลือกโดยการหาคนที่เหมาะสมเท่าเทียมทางสังคม และเศรษฐฐานะ
     2.เลือกโดยการจับคู่ เช่น นิสัยใจคอ ภูมิหลัง การศึกษา ถ้าคล้ายคลึงกันก็น่าจะอยู่กันนาน
     3.เลือกโดยการใช้เวลาศึกษาและพัฒนาความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้น หรือบางคนลองอยู่ด้วยกันก่อนแต่งว่าเข้ากันได้หรือไม่  เช่น ในประเทศตะวันตก
         
การเลือกคู่   มีหลายวิธี หลายปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยไม่มีทฤษฏีใดอธิบายหรือใช้ได้กับทุกคนที่คิดจะแต่งงาน แต่สิ่งที่ฝากเตือนไว้ก็คือ ในระหว่างที่คบกันใหม่ๆทุกอย่างดูมีความสุขเหมือนคำโบราณที่ว่า "ข้าวใหม่ปลามัน"  ในขั้นตอนนี้บางครั้งเรามองข้ามจุดไม่ดีต่างๆของคนที่เราคบ และเมื่อแต่งงงานก็พบว่า ข้อเสียต่างๆเหล่านี้มีมากมายเหลือเกิน ค่อยๆโผล่ขึ้นมา เพื่อไม่ให้เกิดความรู้สึกผิดหวังกับการตัดสินใจ ขอแนะนำดังนี้



     1.มองหาคนที่คิดว่าเหมาะสมกับเรามากที่สุด และใช้เวลาในการศึกษานิสัยใจคอและครอบครัวของเขา เพราะการแต่งงานจะต้องแต่งกับครอบครัวของเขาด้วย ครอบครัวของเราและของเขาเข้ากันได้ไหม ถ้าเราต้องอยู่กับครอบครัวเขาจะรับได้หรือไม่  อย่าใช้คำว่า "คิดว่าแต่งงานแล้วเขาจะทำตามที่เราต้องการ แต่งแล้วคงปรับตัวได้ " อนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอนไม่มีใครคาดเดาได้ ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา
     2.นิสัยข้อเสียต่างๆในคู่ของเราที่พบ เช่น นิสัย ท่าทาง คำพูด มารยาท ฯลฯ เรายินดีรับกับสิ่งเหล่านั่้นหรือไม่ ถ้าไม่มีทางแก้ไข เพราะการปรับเปลี่ยนใครสักคนเป็นสิ่งที่ย่ก ถ้าเขาไม่สมัครใจและตั้งใจที่จะเปลี่ยนจริงจัง ( ไม่ใช่เขาไม่รักแต่ทำยาก ) ดังนั้นข้อเสียเหล่านี้ถ้าเขาเปลี่ยนได้ก็ถือว่า เราโชคดี แต่ถ้าเปลี่ยนไม่ได้จะทำอย่างไร !! อย่าคิดว่า " แต่งแล้วคงเห็นแก่ภรรยา/สามีและลูกคงเปลี่ยนได้ "
     3.อย่าทุ่มเทใจให้หมด เผื่อความผิดหวังไว้บ้าง เพราะการเลือกคู่คือ  การซื้อล๊อตเตอรี่เราอาจไม่ถูกรางวัลก็ได้ และควรเตรียมพร้อมเสมอที่จะเปิดโอกาส ถ้าเราทั้ง 2 คนเข้ากันไม่ได้

ชีวิตคู่มีความสุขได้อย่างไร ?? (ปัจจัยที่ไม่ควรมองข้าม)

          จากการศึกษาคู่สามีภรรยาที่แต่งงานในอเมริการ้อยละ 61 มีความสุขถึงสุขมากในการแต่งงาน ในคู่สามีภรรยากลุ่มนี้ พบว่า มีปัจจัยที่เกี่ยวข้อง คือ ในช่วงนอกเวลางานใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ด้วยกัน มีความสนิทสนมคล้ายเพื่อน แสดงความรักให้ความเคารพและความห่วงใย ในความต้องการของกันและกัน ฝ่ายหญิงมีส่วนร่วมในการตัดสินใจได้เท่าเทียมกับฝ่ายชาย  จากผลการศึกษานี้สะท้อนให้เห็นว่า ความใกล้ชิด การให้เกียรติและยอมรับในคู่สมรส รวมทั้งความต้องการต่างๆทั้ง 2 ฝ่าย ควรมีส่วนในการตัดสินใจร่วมกัน เป็นสิ่งที่ในสังคมไทย อาจต้องมีการยอมรับบทบาทฝ่ายหญิงมากขึ้น เพื่อความสุขในชีวิตแต่งงานเพราะในปัจจุบันฝ่ายหญิงมีการศึกษาและมีงานทำมากขึ้น

     การสื่อสาร  เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ชีวิตคู่มีความสุข!! หลายท่านอาจสงสัยว่า เป็นได้อย่างไร การแต่งงานคือ การอยู่ร่วมกันของคนสองคนหรืออาจเพิ่มขึ้นถ้ามีลูกหรือญาติพี่น้องเกี่ยวข้องด้วย ลองนึกภาพดูในสังคมเล็กๆ มนุษย์เรามีการสื่อสารใหญ่ๆ 2 ทางคือ  การสื่อสารโดยคำพูด และสื่อสารโดยภาษากาย ถ้าเราพูดคุยกับใครและได้รับการยอมรับ ไม่ถูกว่ากล่าว ไม่ถูกติเตียน เราคนที่พูดคงรู้สึกมีความสุขและภูมิใจในตัวเองและอยากพูดอยากคุยกับคนนั้นอีก ในสังคมเล็กๆของชีวิตคู่ก็เช่นกัน

การสื่อสารที่ดีควรมีลักษณะอย่างไร

     การสื่อสารที่ดีควรมีลักษณะ ดังนี้

          1.สื่อสารด้วยคำพูดทางด้านบวก     ( พูดจาภาษาดอกไม้ ) โดยการฟังยอมรับ เห็นด้วย มีอารมณ์ขัน หรือเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็น โดยไม่มีการตำหนิด่าว่า หรือสั่งบังคับข่มขู่ขู่เข็ญ

          2.แสดงอารมณ์ที่ดีต่อกัน    ( ยิ้มแย้มแจ่มใส ) แม้บางครั้งรู้สึกโกรธไม่พอใจ แต่การมีอารมณ์ที่ผ่อนคลายไม่โมโห หรือยิ้มสู้เข้าไว้ อาจทำให้บรรยากาศในการพูดคุยดีขึ้น

          3.ทัศนคติที่ดีกับคู่สมรส     มองเขาในแง่บวกเข้าใจในความรู้สึกความต้องการของคนที่เรารัก เช่น       -สามีกลับบ้านดึกก็ต้องเข้าใจว่า เขามีความจำเป็นที่ต้องติดธุระ หรือ ทำงาน
     -การที่เขาให้ของขวัญญาติพี่น้อง ก็เพราะเขามีคริบครัวเดิมที่ต้องรับผิดชอบ ไม่ใช่เขาเป็นของเราคนเดียว
        การจับผิด การมอง หรือ คิดในด้านลบ ทำให้เกิดความขัดแย้งมากมาย แม้ในบางครั้งเขาอาจไม่ได้ทำผิดจริง แต่ความรู้สึกไม่ไว้ใจกันจะทำให้ความรักจางลง

          4.รับผิดชอบต่อครอบครัวในทุกๆเรื่อง     ( เอาใจใส่ดูแล ) การรับผิดชอบในครอบครัวไม่ใช่จู้จี้ เพราะการจู้จี้ คือการที่เราให้เขาทำในสิ่งที่เราอยากให้ทำ แต่กดารับผิดชอบ คือการปรับที่ตัวเราให้ทำหน้าที่บทบาทของตนเองให้ดีที่สุด โดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับคู่สมรส ( อย่าโมโห อย่าคาดหวัง หรือโกรธ ถ้าอีกฝ่ายไม่ทำ ) เช่น การให้เกียรติ การดูแลเงินทอง การดูแลความเป็นอยู่  การให้ความห่วงใย

          5.เป็นคนเปิดเผย     ( อย่ามีความลับ) การเปิดเผยตนเองเป็นการสื่อสารอีกชนิดหนึ่งที่ทำให้รู้สึกไว้ใจซึ่งกันและกัน ทำให้เกิดความผูกพันและใกล้ชิดกันมากขึ้น และการเปิดเผยอาจช่วยทำให้เรามีคนช่วยคิดช่วยแก้ปัญหา แม้บางครั้งปัญหาอาจแก้ไม่ได้ แต่อย่างน้อยเราได้รับการดูแลทางจิตใจจากคนใกล้ชิด ก็ทำให้ชีวิตคู่มีความสุขได้

          จากการสื่อสารต่างๆทั้ง 5 ประเภทที่กล่าวจะเห็นว่า ถ้าเราสามารถปฎิบัติได้ คนใกล้ชิดของเราก็อาจจะเรียนแบบวิธีพูดวิธีคิดมุมมองของเราที่ดีและปฎิบัติต่อกันในด้านดีๆกลับมาก็ได้นะคะ แต่ถ้าไม่มีการปฎิบัติกลับมาอย่างน้อยเราก็น่ารักในสายตาคนอื่นค่ะ

หน่วยอนามัยการเจริญพันธุ์และงานวางแผนครอบครัว
ภาควิชาสูติศาสตร์นรีเวชวิทยา
คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล
โทร.02-4194736-7

วิตามินสำหรับคนท้อง

7 วิตามินสำคัญสำหรับคนท้อง

เมื่อคุณตั้งครรภ์  เป็นเรื่องสำคัญที่คุณต้องได้รับวิตามินและแร่ธาตุอย่างเต็มที่ เพราะมันเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับพัฒนาการทางสุขภาพของทารกในครรภ์ ดังนั้น คุณจึงต้องรู้ว่าวิตามินเหล่านั้นมีหน้าที่อะไร และให้คุณค่าด้านโภชนาการแก่ส่วนใดของคุณบ้าง ในที่นี้จะขอกล่าวถึงวิตามินและแร่ธาตุที่สำคัญเจ็ดชนิด

1.  โปรตีน : โปรตีนเป็นส่วนสำคัญในการเสริมสร้างเซลล์ร่างกายของลูกน้อย ความต้องการโปรตีนมีเพิ่มมากขึ้นในระหว่างสามเดือนที่สองและสามเดือนสุดท้ายของการตั้งครรภ์ อาหารหลายอย่างอุดมไปด้วยโปรตีนรวมทั้ง เนื้อสัตว์ ปลา ไข่ เนย และเต้าหู้

2.แคลเซียม : แร่ชาติชนิดนี้มีความสำคัญต่อการพัฒนากระดูของลูกน้อย และร่างกายของคุณจะต้องการแร่ธาติชนิดนี้เพิ่มขึ้นมากในระหว่างการตั้งครรภ์ การขาดแคลเซียมสามารถทำให้เกิดกระดูพรุนและกระดูกของลูกไม่แข็งแรง แคลเซียมมีอยู่มากในผลิตภัณฑ์นม เช่น นมสด เนย โยเกิร์ต ผักขม เต้าหู้ และบร๊อคโคลี


3. วิตามิน อี : วิตามินชนิดนี้ช่วยในการพัฒนาของกล้ามเนื้อและเซลล์เม็ดเลือดของทารก การขาดวิตามินอีมีผลทำให้ทารกคลอดมาน้ำหนักต่ำ ในขณะที่การได้รับวิตามินนี้มากเกินไปก็เกี่ยวข้องกับการแท้งลูก

เพราะฉะนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญที่คุณจะต้องขอคำแนะนำจากแพทย์ก่อนที่จะรับประทานวิตามิน อี เสริม วิตามิน อี สามารถพบได้ในอาหารหลายชนิดเช่น น้ำมันพืช ถั่ว และธัญพืช

4. วิตามินบี 1 : วิตามินชนิดนี้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับพัฒนาการของระบบประสาทส่วนกลางของลูกน้อย การได้รับวิตามิน บี 1 ไม่เพียงพออาจทำให้ลูกของคุณเสี่ยงต่อการเป็นโรคเหน็บชา ซึ่งสามารถเป็นอันตรายต่อหัวใจและปอดของลูกได้ อาหารที่มีวิตามิน บี 1 เช่น อาหารจากข้าวและแป้ง จมูกข้าวสาลี และไข่

5. วิตามิน บี 6 : วิตามินนี้ช่วยในการพัฒนาสมองและระบบประสาทของลูกน้อย ในบางกรณีมันยังช่วยลดอาการแพ้ท้องได้ด้วย วิตามิน บี 6 หาได้จากกล้วย แตงโม ถั่วเขียว และหน้าอกไก่

6. เหล็ก : แร่ธาตุชนิดนี้มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาของเซลล์เม็ดเลือด ซึ่งจำเป็นสำหรับพัฒนาการทางสุขภาพของลูกน้อย เหล็กยังเป็นแร่ธาตุที่สำคัญในการเติบโตของรก เหล้กสามารถพบได้จาก เนื้อสัตว์สีแดง ผัก ข้าว และธัญพืชวิตามิน

7. สังกะสี : แร่ธาตุชนิดนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเจริญเติบโตของเซลล์ในทารกในครรภ์ เหล็กยังช่วยเสริมการผลิตเอ็นไซม์ เช่น อินซูลิน ในหญิงตั้งครรภ์ เหล็กสามารถพบได้ใน เนื้อสัตว์สีแดง เป็ด ไก่ ถั่ว ข้าว และผลิตภัณฑ์นม

วิตามินและแร่ธาตุ เป็นส่วนสำคัญสำหรับโภชนาการของสตรีมีครรภ์ทุกคน  อย่างไรก็ตาม คำแนะนำด้านวิตามินและแร่ธาตุที่คุณต้องการในระหว่างการตั้งครรภ์ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ


หน่วยอนามัยการเจริญพันธุ์และงานวางแผนครอบครัว
ภาควิชาสูติศาสตร์นรีเวชวิทยา
คณะแพทย์ศาสาตร์ศิริราชพยาบาล
โทร.02-4194736-7 

วันอังคารที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2556

การปรับชีวิตคู่

การปรับชีวิตคู่

รศ.พญ.สุดสบาย จุลกทัพพะ

          วงจรชีวิตของมนุษย์เริ่มต้นตั้งแต่เราเกิดจากท้องแม่และจบลง เมื่อเราสิ้นลมหายใจ ชีวิตทุกชีวิตมีการหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไปตามจังหวะของวัยที่แตกต่างกัน แม้ในปัจจุบันสังคมเปลี่ยนแปลงไปมากจากอดีตที่ใช้สัตว์เป็นพาหนะ จนปัจจุบันมียานพาหนะที่ทันสมัยและรวดเร็วเป็นโลกของดิจิตอล คอมพิวเตอร์ การวิวัฒนาการทางการแพทย์พยายามคิดค้นวิธีที่ให้เกิดเซลล์มนุษย์ของมาใหม่ เพื่อสู้กับความตายในหลายๆรูปแบบ แต่วงจรชีวิตของมนุษย์ก็ยังคงเหมือนๆเดิม  มีการเกิด เข้าสู่วัยเด็ก และวัยผู้ใหญ่ เพื่อนต่างเพศก็จะเข้ามาในชีวิตและเมื่อแต่งงานจะปรับกลายเป็นชีวิตคู่ หลายท่านมีชีวิตการแต่งงานและครอบครัวที่มีความสุข แต่บางท่านแต่งงานกันไม่นานหรืออาจแต่งงานจนลูกๆโตหมดแล้วก็ได้ จึงพบอุปสรรคมีการทะเลาะเบาะแว้ง มีความเห็นไม่ตรงกัน จนกลายเป็นการหย่าร้าง หรือถ้าไม่หย่าก็อาจอยู่ด้วยกันอย่างไม่มีความสุขในครอบครัว

          การปรับตัวกับชีวิตคู่ เป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะการแต่งงาน คือการที่เราคิดว่าเราเลือกคนที่ดีที่สุดให้กับตนเองแล้ว ทุกคนที่แต่งงานคงไม่คิดว่า จะหย่าร้างในอนาคต แต่ในชีวิตคู่มีปัจจัยต่างๆมากมายกระทบ  เช่นปัจจัยครอบครัว สังคม เศรษฐกิจ การงาน การเจ็บป่วย รวมถึงการเปลี่ยนแปลงตามวัยของเราและชีวิตของเรา ซึ่งอาจเกิดปัญหาต่างๆได้ ตลอดวงจรชีวิตของมนุษย์ จะเห็นได้ชัดว่า เราต้องปรับตัวอยู่ตลอดเวลาตามช่วง ตามวัย ตามปัญหาต่างๆที่มากระทบ

          การแต่งงานเปรียบเสมือน " การซื้อล๊อตเตอรี่ " ซึ่งเราไม่สามารถจะทราบได้ว่า ล๊อตเตอรี่ที่เราซื้อจะถูกรางวัลหรือไม่ แม้เราจะเลือกเลขที่สวยที่สุดที่บอกโดยอาจารย์ดังต่างๆก็ตาม ถ้าเราโชคดีคู่ที่เราเลือกก็จะเป็นเหมือนรางวัลที่ 1 หรือรางวัลอื่นๆลดหลั่นลงมา ล๊อตเตอรี่เมื่อไม่ถูกก็หาซื้อเสี่ยงใหม่ได้ แต่การแต่งงานสำหรับบางท่านอาจรู้สึกว่า ไม่สามารถทำได้เช่นนั้น การแต่งงานเป็นเหมือนสิ่งที่มอบให้กับคนที่เรารักคนเดียว การปรับตัวกับชีวิตคู่การเตรียมพร้อมที่จะเผชิญปัญหาต่างๆจึงเป็นสิ่งที่คู่หนุ่มสาวทุกท่านควรสนใจศึกษา
     ข้อควรรู้ที่กล่าวในที่นี้ คือ
1.แนวคิดที่แตกต่างระหว่างหญิงและชาย ??
2.คิดให้ดีก่อนตัดสินใจแต่งงาน
3.ชีวิตคู่มีความสุขได้อย่างไร ?? ( ปัจจัยที่ไม่ควรมองข้าม )

          แนวคิดที่แตกต่างระหว่างหญิงและชาย????
     หญิงชายมีความแตกต่างกันในหลายๆด้านทั้งทางร่างการ การเลี้ยงดู ทัศนคติ ที่ปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กจนโต ดังนั้นจากความแตกต่างเมื่อคนสองคนตัดสินใจมาอยู่ด้วยกันการปรับตัวจึงจำเป็นอย่างยิ่ง การปรับแนวคิดที่แตกต่างในผู้หญิงและผู้ชาย เป็นสิ่งที่ทั้ง 2 ฝ่ายควรเรียนรู้ความคิดซึ่งกันและกัน เพื่อจะได้เข้าใจความคิดความต้องการของอีกฝ่ายหนึ่ง โดยไม่ยึดเอาความคิดเห็นของตนเองเป็นที่ตั้ง ปัญหาความขัดแย้งหลายครั้งเกิดจากยึดมั่นในความคิดตนเองและต้องการให้ผู้อื่นเป็นเช่นที่เราต้องการ แต่เมื่อเราต้องการให้คนที่เรารักมีความสุขควรที่จะพยายามเข้าใจและช่วยเหลือเขาให้มีความสุขกับชีวิต
     ผู้ชาย     จะมีแนวคิดที่มุ่งมั่นในการทำงานมีความเป็นตัวของตัวเองสูง ไม่ชอบให้ใครดูถูกหรือว่ากล่าวตักเตือน ให้ความสำคัญกับศักดิ์ศรีของตนเอง
     ผู้หญิง     จะมีแนวคิดที่ต้องการความสุข ความสำเร็จทั้งหน้าที่การงานและครอบครัว เห็นความสำคัญของการมีมิตร การเข้าสังคมสมาคม กับบุคคนอื่น และต้องการความใกล้ชิดมากกว่าผู้ชาย โดยให้ความสำคัญกับความรัก และครอบครัวเท่าๆกัน    
          จากแนวคิดของทั้ง 2 เพศที่แตกต่างกัน  จะเห็นว่ามุมมองของฝ่ายหญิงต้องการความใกล้ชิด การดูแล การเอาใจใส่ แต่ขณะเดียวกัน ฝ่ายชายต้องการมีชีวิตที่ส่วนตัวเป็นตัวของตัวเองมีศักดิ์ศรี ดังนั้นถ้าฝ่ายหญิงต้องการที่จะทำให้ฝ่ายชายรู้สึกมีความสุขที่อยู่ใกล้เรา การให้เกียรติ การให้ความเคารพในเรื่องส่วนตัวของฝ่ายชายก็จะลดความขัดแย้งลง ในทำนองเดียวกัน ฝ่ายชายถ้าต้องการให้ฝ่ายหญิงมีความสุขการให้ความอบอุ่น ความใกล้ชิด ความผูกพันอย่างต่อเนื่อง เช่น การให้ของเล็กๆน้อยๆก็จะทำให้ฝ่ายหญิงรู้สึกไม่ถูกทอดทิ้งจากฝ่ายชาย ความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ฝ่ายจะมีมากขึ้น
          ความเข้าใจ การให้เกียรติซึ่งกันและกัน การแบ่งเวลาส่วนตัวและเวลาของครอบครัวให้เหมาะสมจะเป็นพื้นฐานของชีวิตคู่ที่มีความสุข 



หน่วยอนามัยการเจริญพันธุ์และงานวางแผนครอบครัว
ภาควิชาสูติศาสตร์นรีเวชวิทยา
คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล
โทรศัพท์ 02-4194736-7

วันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2556

ความเสี่ยงของมารดาขณะตั้งครรภ์ 2

ความเสี่ยงของมารดาขณะตั้งครรภ์

โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์

          มีอุบัติการประมาณร้อยละ 2.6 ของการคลอดมีชีวิต มารดาที่มีความเสี่ยงในการเกิดเบาหวานขณะตั้งครรภ์เป็นดังที่กล่าวไว้ข้างต้น ถ้าผลการตรวจพบว่า มารดาเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์จริง แพทย์จะทำให้การดูแลรักษาโดยการควบคุมอาหารเป็นหลัก ซึ่งส่วนมากมักควบคุมได้ผล มีเพียงส่วนน้อยที่ไม่สามารถควบคุมได้ จึงต้องใช้ยาฉีดอินซูลินเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในระดับปกติร่วมด้วย  โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ทำให้เกิดผลต่อทารกได้แก่ ทารกตัวใหญ่กว่าปกติทำให้คลอดยาก คลอดติดไหล่ มารดาก็มีภาวะแทรกซ้อนจากการคลอดยากตามมาได้แก่ การตกเลือดหลังคลอดจากแผลฉักขาดของช่องคลอด มดลูกหดรัดตัวไม่ดี รวมทั้งอาจทำให้มีภาวะเสี่ยงต่อครรภ์เป็นพิษเพิ่มขึ้นด้วย เบาหวานที่เกิดขึ้นจากการตั้งครรภ์ ( ร้อยละ 90 ) จะหายหลังจากคลอดแล้ว



ภาวะครรภ์เป็นพิษ

          ถือว่าเป็นภาวะฉุกเฉินทางสูติกรรมภาวะหนึ่ง มารดามีอาการบวมมากผิดปกติ มีความดันโลหิดสูง และตรวจพบไข่ขาว (albumin)ในปัสสาวะ มีความเสี่ยงที่จะทำให้มารดาเกิดการชัก หัวใจวายหรือเลือดออกในสมองได้ อาการและอาการแสดงของภาวะนี้ คือ บวมมาก น้ำหนักขึ้นมาก ปวดศีรษะ ตาพร่ามัว ปวดจุกใต้ลิ้นปี่ เมื่อตรวจพบภาวะนี้แพทย์จะรีบให้การดูแลรักษาโดยให้ยาป้องกันชัก ยาลดความดัน เจาะเลือดตรวจหาภาวะแทรกซ้อนอื่น เช่น เกร็ดเลือดต่ำ การทำงานของตับบกพร่อง การทำงานของไตผิดปกติ และพิจารณากระตุ้นคลอด หรือผ่าตัดคลอด เมื่อสามารถคงบคุมความดันโลหิตได้ เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนต่อมารดาและทารกถ้าปล่อยให้โรคดำเนินต่อไป ภาวะนี้เป็นสาเหตุสำคัญของการตายของมารดา

ความพิการแต่กำเนิดของทารกในครรภ์

          ทารกมีความเสี่ยงพิการธรรมชาติประมาณร้อยละ 3 เช่น ปากแหว่งเพดานโหว่ มีติ่งที่ใบหู และโรคหัวใจ เป็นต้น มารดาที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดทารกพิการแต่กำเนิดมากขึ้นได้แก่ มารดาที่มีอายุมากกว่าโดยเฉพาะเมื่ออายุมากกว่า 35 ปี มีประวัติโรคพิการแต่กำเนิดในครอบครัว ได้รับยาหรือสารที่มีผลต่ะทารกตั้งแต่ช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ แต่ส่วนใหญ่ไม่ทราบสาเหตุดังนั้นในการฝากครรภ์ แพทย์จะมีการตรวจประเมินความเสี่ยงดังกล่าว แนะนำการตรวจวินิจฉัยก่อนคลอดในรายที่มีความเสี่ยง โดยการเจาะเลือดตรวจระดับฮอร์โมนในช่วงไตรมาสแรกหรือไตรมาสที่สอง แล้วนำค่าที่ได้มาประเมินร่วมกับอายุมารดาและอายุครรภ์ ค่าที่ได้ออกมาจะเป็นตัวเลขความเสี่ยงที่ทารกจะมีความพิการแต่กำเนิดบางชนิด เช่น Down syndrome,Neural tube defect ( หลอดระบบประสาทไม่ปิด ) และ Trisomy 18 การเจาะน้ำคร่ำเพื่อนำไปตรวจโครโมโซมของทารกในครรภ์ การตรวจอัลตร้าซาวน์เพื่อดูความพิการตั้งแต่กำเนิดของทารก ความพิการบางชนิดหรือบางกลุ่มอาการอาจไม่ร้ายแรงและสามารถแก้ไขได้ แพทย์ก็จะพิจารณาลอดเมื่ออายุครรภ์ครบกำหนด แล้วมาแก้ไขความพิการของทารกหลังคลอด แต่ความพิการบางอย่างมีความรุนแรงมากจนทารกไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้หลังคลอด แพทย์ก็จะยุติการตั้งครรภ์ทันที

          ดังนั้นการเตรียมตัวก่อนแต่งงานหรือก่อนมีบุตรจึงมีความสำคัญต่อคู่สมรส ในการตรวจคัดกรองโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ ตรวจหาความผิดปกติของคู่สมรสในการที่จะเกิดการตั้งครรภ์ผิดปกติหรือโอกาสที่จะเกิดทารกที่มีความพิการตั้งแต่กำเนิด เพื่อจะได้มีแนวทางการป้องกันความผิดปกติดังกล่าว เมื่อมีการตั้งครรภ์เกิดขึ้น การฝากครรภ์ก็มีความจำเป็นและมีความสำคัญในการตรวจหาความผิดปกติทั้งมารดาและทารก แล้วรีบให้การรักษา เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนในอนาคต



หน่วยวิจัยอนามัยการเจริญพันธุ์และงานวางแผนครอบครัว
ภาควิชาสูติศาสตร์นรีเวชวิทยา
คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล
โทรศัพท์  02-4194736-7




วันเสาร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2556

ความเสี่ยงของมารดาและทารกขณะตั้งครรภ์

ความเสี่ยงของมารดาและทารกขณะตั้งครรภ์

          การตั้งครรภ์เป็นสิ่งที่คู่สมรสรอคอยให้เกิดขึ้น และมีความยินดีอย่างยิ่งเมื่อมีการตั้งครรภ์เกิดขึ้น จึงมีความตั้งใจที่จะให้การดูแลประคับประคองจนกระทั่งคลอดบุตรที่แข็งแรงและมารกามีความปลอกภัย แต่ในบางภาวะหรือในหญิงบางคนอาจมีความเสี่ยงในการเกิดการตั้งครรภ์ที่ผิดปกติ ซึ่งมีได้ ตั้งแต่ การแท้งบุตร การคลอดบุตรก่อนกำหนด การตกเลือดก่อนคลอด โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ ภาวะครรภ์เป็นพิษ ความพิการแต่กำเนิดของทารกในครรภ์ ดังนั้นการฝากครรภ์จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งเพื่อแพทย์จะได้ตรวจหาความผิดปกติ และให้การดูแลรักษาป้องกันได้


การแท้งบุตร

          คือ ภาวะที่มีการสิ้นสุดของการตั้งครรภ์ก่อนอายุครรภ์ 28 สัปดาห์ แท้งธรรมชาติเกิดประมาณร้อยละ 10-15 สาเหตุของการแท้งบุตรร้อยละ 70-80 เกิดจากทารกมีความผิดปกติของโคโมโซม จึงเป็นกลไกธรรมชาติที่จะถูกขับออกมา ความเสี่ยงในการแท้งบุตรมีมากขึ้นในมารดาที่มีอายุมาก แต่ถ้ามารดามีประวัติแท้งบุตรติดต่อกันมากกว่า หรือเท่ากับ 3  ครั้งน่าจะมีสาเหตุมารดามีโรคหรือภาวะบางอย่างที่ไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ เช่น มดลูกมีความผิดปกติแต่กำเนิด มีเนื้องอกมดลูกหรือติ่งเนื้อในโพรงมดลูกซึ่งจะขัดขวางการฝังตัวของตัวอ่อนหรือการเจริญเติบโตของทารก มีโรคประจำตัวทางอายุกรรมที่ควบคุมไม่ได้ดี และโรคเกี่ยวกับภูมิต้านทานตนเองที่ผิดปกติ เป็นต้น
          อาการของการแท้งบุตร คือ  เลือดออกทางช่องคลอด และปวดท้องน้อย ซึ่งควรรีบมาตรวจรักษา แพทย์จะทำการตรวจภายใน เพื่อประเมินปริมาณเลือดที่ออก ตรวจปากมดลูกว่า เปิดหรือไม่ แล้วพิจารณาการรักษาต่อไป


การคลอดก่อนกำเนิด

          การคลอดที่เกิดก่อนอายุครรภ์ 37 สัปดาห์ เรียกว่า การคลอดก่อนกำหนด  สาเหตุส่วนใหญ่ไม่ทราบสาเหตุ แต่ความเสี่ยงจะมีมากขึ้นเมื่อทารกมีความผิดปกติ มารดาที่มีโรคประจำตัวต่างๆมารดาอายุน้อยหรือมารดาอายุมาก มีประวัติการคลอดอ่นกำเนิดมาก่อน มีเนื้องอกมดลูก การตั้งครรภ์แฝด มีภาวะแทรกซ้อนขณะตั้งครรภ์เช่น ภาวะเบาหวาน ครรภ์เป็นพิษ การแตกรั่วของถุงน้ำคร่ำก่อนกำหนด และภาวะรกเกาะต่ำ  มารดาจะมีอาการเจ็บครรภ์เนื่องจากมดลูกบีบรัดตัว มีน้ำใสๆออกทางช่องคลอด มีเลือดออกทางช่องคลอดก่อนกำหนด ต้องรีบมาตรวจหาสาเหตุและให้การรักษาเพื่อพยายามยึดอายุครรภ์ให้มากที่สุด เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนของทารกที่เกิดก่อนกำหนด


การตกเลือดก่อนคลอด

          การที่มีเลือดออกในช่วงอายุครรภ์ 28-37 สัปดาห์ เรียกว่า การตกเลือดก่อนคลอด สาเหตุที่ทำให้มีเลือดออกส่วนใหญ่มักเกิดจากภาวะรกเกาะต่ำ ซึ่งมีอุบัติการประมาณ 1  ใน 300 การคลอด ความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะนี้ เช่น มีประวัติผ่าตัดคลอด มีประวัติการขูดมดลูก มีเนื้องอกมดลูก บางครั้งก็ไม่ทราบสาเหตุ การวินิจฉัยอาศัยประวัติเลือดออกโดยอาจจะมีอาการเจ็บครรภ์ร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้ แต่อาการจะเจ็บไม่มาก การตรวจอัลตร้าซาวด์ พบว่า รกเกาะอยู่ในตำแหน่งต่ำกว่าปกติ การรักษา คือ การักษาประคับประคองให้มีอายุครรภ์ครบกำหนดให้มากที่สุด  โดยให้มารดาพักผ่อนมากๆงดเพศสัมพันธ์ พิจารณาให้ยาคลายการบีบตัวของมดลูก ถ้ามีมดลูกหดรัดตัว เพราะการหดรัดตัวของมดลูกจะยิ่งทำให้มีเลือดออกทางช่องคลอดมากขึ้น ตรวจติดตามการเจริญเติบโตของทารกเป็นระยะๆ ถ้ามีเลือดออกมากไม่หยุด อาจต้องพิจารณาผ่าตัดคลอดก่อนกำหนด


หน่วยอนามัยการเจริญพันธุ์และงานวางแผนครอบครัว
ภาควิชาสูติศาสตร์นรีเวชวิทยา 
คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล
โทร.02-4194736-7  

วันอังคารที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2556

การตั้งครรภ์

 การตั้งครรภ์

         การมีเพศสัมพันธ์ในช่วงที่ใกล้ภาวะไข่ตกในฝ่ายหญิงมากที่สุด จะทำให้มีโอกาสตั้งครรภ์ได้มากที่สุด โดยนับจากระยะห่างของรอบเดือน(ปกติจะอยู่ในช่วง 21-35 วัน ) ลบด้วย 14 จะเท่ากับวันที่ไข่ในแต่ละรอบเดือนนั้น หรือใช้วิธีการตรวจหาวันไข่ตกโดยการตรวจปัสสาวะเพื่อทดสอบการตกไข่ ในช่วงกึ่งกลางรอบเดือน ส่วนการตรวจโดยการวัดอุณหภูมิร่างกายมีความคลาดเคลื่อนได้สูง ถ้าคู่สมรสมีเพศสัมพันธ์กันอย่างสม่ำเสมอ (อย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์) โดยไม่ได้คุมกำเนิดเป็นเวลา 1 ปี แล้วยังไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ก็ถือว่า คู่สมรสนั้นมีภาวะผู้มีบุตรยาก ก็ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและให้การปรึกษาต่อไป
          ในผู้หญิงที่มีปีะจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ การขาดประจำเดือนอาจไม่ชัดเจน แต่ถ้ามีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น คลื่นไส้ อาเจียน คัดตึงหน้าอก อาจเป็นอาการที่บ่งบอกการตั้งครรภ์ได้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจให้แน่นอนว่าตั้งครรภ์หรือไม่ แต่ในรายที่มีประจำเดือนสม่ำเสมอ ถ้ามีการขาดหายไปของประจำเดือน ควรทดสอบการตั้งครรภ์ ถ้าพบว่ามีการตั้งครรภ์เกิดขึ้นสามารถปรึกษาแพทย์เพื่อฝากครรภ์ได้เลย 

การฝากครรภ์

          เมื่อทราบว่ามีการตั้งครรภ์เกิดขึ้น สามารถมาปรึกษาแพทย์เพื่อฝากครรภ์ได้เลย ส่วนจะเลือกโรงพยาบาลใดนั้น ก็ขึ้นกับความสะดวกในการเดินทาง การมาตรวจติดตามอย่างต่อเนื่อง และการประเมินค่าใช้จ่าย แต่ควรจะเป็นโรงพยาบาลที่สามารถเดินทางได้สะดวกใกล้บ้าน จะมีผลดีกว่าถ้ามีภาวะฉุกเฉินเกิดขึ้นก็สามารถที่จะได้รับการดูแลรักษาได้อย่างรวดเร็ว กว่าสถานพยาบาลที่อยู่ไกล ในการฝากครรภ์นั้นแพทย์จะทำการซักประวัติการตั้งครรภ์ การคลอด การแท้ง ประวัติวันแรกของการมีประจำเดือนเดือนสุดท้าย เพื่อนำมาคำนวณอายุครรภ์ และคะเนวันครบกำหนดคลอด ทำการตรวจร่างกาย ตรวจหัวนมและเต้านม ซึ่งพบว่ามีความผิดปกติก็จะทำการแก้ไขหัวนมอย่างต่อเนื่อง ทำการตรวจเลือดซึ่งคล้ายกับที่ตรวจก่อนการตั้งครรภ์ คือ ตรวจหาโรคโลหิตจาง หมู่เลือด โรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ แล้วนำข้อมูลทั้งหมดมาประเมินว่า เป็นการตั้งครรภ์ที่อยู่ในกลุ่มความเสี่ยงสูงหรือไม่ 
          
          การตั้งครรภ์ที่มีความเสี่ยงสูงได้แก่
     -มารดาที่มีอายุมากกว่า 35 ปี จะมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดทารกที่มีความผิดปกติทางโคโมโซมได้สูง (ส่วนใหญ่เป็นดาวน์ซิมโดรม คือ มีปัญญาอ่อน )  ซึ่งได้รับการตรวจเจาะน้ำคร่ำ (ในช่วงอายุครรภ์ประมาณ 16-20 สัปดาห์ ) เพื่อนำไปตรวจโครโมโซมของทารกในครรภ์ ส่วนในมารดาที่มีอายุน้อยกว่า 35 ปี เนื่องจากความเสี่ยงในการเกิดเด็กดาวน์ซิมโครมต่ำกว่า จึงเลี่ยงการเจาะตรวจน้ำคร่ำก่อน (โอกาสแท้งจากการเจาะน้ำคร่ำ =1 ใน200) โดยใช้การเจาะเลือดแม่เพื่อตรวจประเมินความเสี่ยงในการเกิดความผิดปกติของโครโมโซมแทน โดยใช้ข้อมูล อายุมารดา อายุครรภ์และค่าของสาร หรือระดับฮอร์โมนที่รกสร้าง แล้วนำมาประเมินเป็นตัวเลขความเสี่ยงที่จะเกิดความผิดปกติว่ามากหรือน้อย ถ้าความเสี่ยงมากจึงเจาะน้ำคร่ำต่อไป
     -มารดาที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวาน ได้แก่ อายุมากกว่า 30 ปี มีประวัติโรคเบาหวานในครอบครัว เคยมีประวัติการคลอดทารกน้ำหนักมากกว่า 4000 กรัม มีประวัติทารกพิการแต่กำเนิดโดยไม่ทราบสาเหตุ ถ้ามีประวัติเหล่านี้แพทย์จะทำการตรวจคัดกรองเบาหวาน ขณะตั้งครรภ์ ถ้าผลตรวจคัดกรองพบว่ามีความผิดปกติ ก็จะตรวจละเอียดอีกครั้งว่ามีเบาหวานขณะตั้งครรภ์หรือไม่
     -มารดาที่มีประวัติคลอดยากในครรภ์ก่อน ต้องใช้เครื่องดูดสูญญากาศหรือคีมช่วยคลอดในครรภ์ก่อน
     -มารดที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคประจำตัว โรคเลือด ต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติ โรคเกี่ยวกับภูมิต้านทานทำงานผิดปกติ เป็นต้น โดยก่อนที่จตะตั้งครรภ์ควรปรึกษาแพทย์ก่อนว่าสามารถตั้งครรภ์ได้หรือไม่ สูติแพทย์ก็จะให้การดูแลรักษาผู้ป่วยร่วมกับแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับโรคที่เป็นอยู่นั้นๆ ในการดูแลมารดาและทารก

          หลังการฝากครรภ์ในครั้งแรกแล้วแพทย์ก็จะนัดฟังผลเลือดในอีก 1-2 สัปดาห์ต่อมา  เพื่อบอกผลเลือด ให้คำแนะนำดูแลรักษาความผิดปกติที่เกิดขึ้น ถ้าไม่มีความผิดปกติใดๆ แพทย์จะนัดตรวจต่อทุก 4 สัปดาห์ ในช่วงอายุครรภ์ 6-16 สัปดาห์ มารดาอาจมีอาการแพ้ท้องได้  แพทย์ก็จะให้ยาแก้แพ้ท้องไปรับประทานร่วมกับยาบำรุง โดยส่วนใหญ่แล้วอาการแพ้ท้องมักไม่รุนแรง สามารถบรรเทาได้ด้วยยาแก้แพ้ท้อง แต่ถ้ามารดามีอาการมากอาเจียนตลอดเวลา รับประทานอาหารไม่ได้ รู้สึกอ่อนเพลียมาก อาจต้องมาปรึกษาแพทย์ เพื่อหาสาเหตุของการแพ้ท้องมากผิดปกติ เช่น การตั้งครรภ์แฝด  ครรภ์ไข่ปลาอุก ต่อมไทรอยด์เป็นพิษ เป็นต้น ถ้าไม่มีความผิดปกติดังกล่าว แพทย์ก็จะนัดตรวจเป็นระยะๆจนอายุครรภ์หลัง 28 สัปดาห์ ก็จะนัดตรวจถี่ขึ้นเป็นทุก 2-3 สัปดาห์ และนัดทุก 1 สัปดาห์ในเดือนสุดท้าย โดยการตรวจแต่ละครั้งจะมีการชั่งน้ำหนัก ตรวจวัดความดันโลหิต ตรวจทางหน้าท้องเพื่อคลำขนาดมดลูก ท่าของทารก ประเมินการเจริญเติบโตของทารก ฟังเสียงการเต้นหัวใจทารก ตรวจว่า มีการบวมหรือไม่ และตรวจปัสสาวะหาว่ามีน้ำตาลหรือไข่ขาวปนออกมาหรือไม่ ให้ยาบำรุงเลือด และหรือแคลเซียม กลับไปรับประทาน ฉีดวัคซีนป้องกันบาดทะยัก ถ้ามารดายังไม่เคยได้รับมาก่อน ส่วนการทำอัลตร้าซาวด์เพื่อประเมินความผิดปกติของทารก แพทย์จะทำการตรวจในช่วงประมาณอายุครรภ์ 16-22 สัปดาห์ แต่ถ้ามารดาจำประวัติประจำเดือนได้ไม่แน่นอน ก็ควรได้รับการตรวจอัลต้าซาวด์เพื่อประเมินอายุครรภ์ตั้งแต่อายุครรภ์น้อยๆเนื่องจากมีความแม่นยำในการประเมินอายุครรภ์และคะเนวันคลอดได้แม่นยำกว่ามาตรวจตอนที่อายุครรภ์มากๆ ในปัจจุบันมีการพัฒนาการเทคนิคการตรวจอัลตร้าซาวด์ให้เห็นภาพชักเจนมากขึ้น คือ อัลตร้าซาวด์ 3 หรือ 4 มิติ ( 3D หรือ 4D) ซึ่งมีความจำเป็นในกรณีที่ต้องการตรวจความผิดปกติ หรือความพิการของทารกในครรภ์ในกลุ่มที่มีความเสี่ยง  


หน่วยอนามัยการเจริญพันธุ์และวางแผนครอบครัว
ภาควิชาสูติศาสตร์นรีเวชวิทยา
คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล
โทร.02-4194736-7 

วันอาทิตย์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2556

เพศศึกษา กระบวนการร่วมรัก

กระบวนการร่วมรัก 

มีขั้นตอนดังนี้

1.ระยะพลอดรัก  ( Prelude )

เป็นช่วงที่คู่รักมีความสุขในการอยู่ใกล้ชิดกัน เช่น นั่งรับประทานอาหารด้วยกันสองต่อสองใต้แสงเทียน นั่งดูทีวีจับมือกันหรือกิจกรรมอย่างอื่น คู่รักควรให้ความสนใจในเรื่องต่อไปนี้
-การแต่งกายที่ดึงดูดเพศตรงข้าม
-มีความสะอาด
-ใช้กลิ่นน้ำหอมที่กระตุ้นความรู้สึกทางเพศ
-ไม่รับประทานอาหารที่ทำให้มีกลิ่นปาก หรือควรแปรงฟันก่อน
-มีบรรยากาศที่เป็นส่วนตัว

ระยะนี้จะเป็นช่วงเริ่มตันของระยะตื่นเต้น

2.ระยะเล่นรัก   ( Foreplay|, love play )

เป็นช่วงที่มีความสุขในกามารมณ์ คือ ระยะตื่นเต้น คู่รักควรใช้ระยะเวลานี้นานๆอย่างเร่งรีบ ระยะนี้อาจนานแค่นาทีหรือนานเป็นชั่วโมงได้ เป็นช่วงที่คู่รักสัมผัสกันเพื่อกระตุ้นความรู้สึกทางเพศได้นาน ข้อสำคัญคือ ไม่ควรสัมผัสกระตุ้นอวัยวะเพศในช่วงแรก การกระตุ้นอวัยวะเพศโดยเฉพาะปุ่มกระสันนานไปในฝ่ายหญิงอาจทำให้เจ็บ และลดอารมณ์ทางเพศลง การเล่นรักมีหลายชนิด คือ การลูบคลำสัมผัส การนวด การเลีย การจูบ การช่วยตัวเองโดยคู่รัก และการใช้ปากกระตุ้นอวัยวะเพศ คู่รักสามารถเลือกวิธีการใดก็ได้ ที่ทั้งคู่ชอบและทำให้มีความสุข อาจช่วยตัวเองโดยคู่รักให้สำเร็จ จุดสุดยอดหนึ่งรอบก่อน แล้วค่อยเริ่มรอบใหม่ การเล่นรักด้วยปากนั้น ไม่มีอะไรน่ากลัวหรือน่ารังเกียจ สิ่งสำคัญคือ ต้องมีความสะอาดทั้งอวัยวะเพศและปาก ไม่มีการติดเชื้อในขณะนั้น และอย่าบังคับให้คู่รักกระทำด้วยปากถ้ายังไม่พร้อมหรือเต็มใจ
จุดตำแหน่งเร้าอารมณ์ ( erotic area ) ได้แก่ ริมฝีปาก ก้น ต้นขาบนด้านใน ลำตัว เต้านม และอวัยวะเพศ

ตำแหน่งจีสปอต ( Grafenberg Spot , G Spot ) เป็นเนื้อเยื่อประสาทมีรูปร่างเหมือนถั่ว อยู่กึ่งกลางระหว่างด้านหลังกระดูกหัวหน่าวกับปากมดลูก วิธีคลำหา คือ สอดนิ้วเข้าช่องคลอดแล้วกดทางด้านหน้า ลึกเข้าไป 1.5-3.0 นิ้ว จะรู้สึกเป็นสัน และรู้สึกเสียว การกดลูบกระตุ้นจีสปอตมีความเสียวเหมือนหรือมากกว่าการกระตุ้นปุ่มกระสัน ดังนั้นจึงสามารถ กระตุ้นจนถึงจุดสุดยอดได้  ท่าร่วมเพสที่ปลายองคชาตมีทิศทางไปด้านหน้าช่องคลอด จะเพิ่มความเสียวทางเพศเพราะจะกดจีสปอต โดยเฉพาะท่าร่วมเพศด้านหลัง ( เช่น ท่า doggy ) จะเห็นได้ว่า จีสปอตไม่ได้อยู่ลึกเลย อย่างมากลึกแค่ 3 นิ้ว ดังนั้นองคชาติไม่จำเป็นต้องยาว ก็สามารถกระตุ้นจีสปอตให้มีความสุขได้


3.ระยะลงรัก  ( Sexual act )

เมื่อความรู้สกทางเพศถูกกระตุ้นจนถึงระยะกระสันแล้ว ทั้งฝ่ายหญิงและชายมีความต้องการมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด ที่สำคัญคือ ฝ่ายชายจะถึงระยะกระสันกว่าฝ่ายหญิง ดังนั้นฝ่ายชายควรทราบว่า ฝ่ายหญิงมีความพร้อมถึงระยะกระสันหรือยัง โดยการสังเกตอาการหรือการบอกกล่าวของฝ่ายหญิง ( ไม่ต้องอายที่จะบอก) ถ้าฝ่ายหญิงยังไม่พร้อม ไม่ควรรีบสอดอวัยวะเพศ เพราะฝ่ายหญิงอาจไม่ถึงจุดสุดยอด ถ้าฝ่ายชายหลั่งน้ำอสุจิเร็ว

ท่าร่วมเพศ มีหลายท่า ดังต่อไปนี้

1.ท่านอน มี 2 แบบ คือ ฝ่ายชายอยู่บน หรือ ฝ่ายหญิงอยู่บน
2.ท่านั่ง
3.ท่าคุกเข่า
4.ท่ายืน
5.ท่าข้างหลัง
6.ท่าตะแคง

ในแต่ละท่า อาจจะมีท่าย่อยๆซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติอีกจำนวนมาก ซึ่งสามารถค้นคว้าได้จากหนังสือ หรือจากอินเตอร์เน็ต

การมีท่าร่วมเพศหลายๆแบบ ทำให้กิจกรรมทางเพศไม่เป็นที่น่าเบื่อ ทำที่เริ่มต้นในการมีเพศสัมพันธ์ในช่วงแรก ควรเป็นท่าพื้นฐาน คือ ท่านอน ซึ่งฝ่ายชายอยู่ข้างบน


4.ระยะหลังร่วมรัก  ( Postlude )

เป็นระยะที่มีความสำคัญสำหรับฝ่ายหญิง ฝ่ายหญิงมีความรู้สึกต้องการความเอาใจใส่และโอบกอดใกล้ชิดจากฝ่ายชายอีกสักระยะ ฝ่ายชายไม่ควรรีบเอาอวัยวะเพศออก ควรรอจนอวัยวะเพศหดตัวหลุดออกมาเองก็ได้ (ยกเว้น คุมกำเนิดโดยการหลั่งข้างนอก )


เพศสัมพันธ์   เป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งในชีวิตคู่ โดยเฉพาะในวัยหนุ่มสาว แต่ไม่ใช่เป็นสิ่งสำคัญที่สุด  การปฏิบัติที่เต็มไปด้วยความรักเป็นสิ่งสำคัญมาก ดังที่คนมักจะกล่าวว่า make love แตกต่างจาก make sex อย่างสิ้นเชิง อย่างไรก็ตามปัจจัยอื่นๆ ก็มีความสำคัญไม่น้อยในชีวิตคู่ เช่นอุปนิสัยใจคอ   การเห็นอกเห็นใจ  ความเป็นห่วงเป็นใย การให้ความดูแล ความรับผิดชอบ และการช่วยกันหารายได้ ทั้งหญิงชายช่วยกันสร้างและถนุถนอมความรักที่มีกันมาตั้งแต่เริ่มต้นที่น่าจะมากที่สุดให้คงอยู่ชั่วนิรันดร์



หน่วยวิจัยอนามัยการเจริญพันธุ์และงานวางแผนครอบครัว
ภาควิชาสูติศาสตร์นรีเวชวิทยา
คณะแพทย์ศิริราชพยาบาล
โทรศัพท์ 02-4194736-7 โทรสาร 02-4129868


วันเสาร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2556

เพศศึกษา ความรู้สึกทางเพศ

ความรู้สึกทางเพศ (การตอบสนองทางเพศ) มี 4 ระยะ คือ

1.ระยะตื่นเต้น ( excitement )
2.ระยะกระสัน ( plateau ) 
3.ระยะจุดสุดยอด ( orgasm )
4.ระยะฟื้นตัว ( resolution )
ในเพศชาย 
การตอบสนองทางเพศจะมีลักษณะที่สามารถถึงจุดสุดยอดได้เกือบทุกครั้งของการตอบสนองทางเพศ แต่มีการถึงจุดสุดยอดได้เพียงครั้งเดียว

ในเพศหญิง
การตอบสนองทางเพศจะมี 4 ลักษณะ  คือ
1.ความรู้สึกทางเพศขึ้นถึงจุดสุดยอดเร็วมาก
2. ลักษณะนี้เหมือนกับเพศชาย มีการถึงจุดสุดยอดเพียงครั้งเดียว
3.ลักษณะนี้มีการถึงจุดสุดยอดหลายครั้ง
4.ลักษณะนี้ ฝ่ายหญิงไม่มีการถึงจดสุดยอดเลย
การตอบสนองทางเพศ (ร่างกาย)

1.ระยะตื่นเต้น (รักร่วมสุข)

          เป็นระยะแรกของการมีอารมณ์ทางเพศ มีหัวใจเต้นเร็ว มีการตึงตัวของกล้ามเนื้อทั่วร่างกาย 
-ฝ่ายชาย องคชาตขยายโตขึ้นและแข็งขึ้น ผิวหนังของพวงอัณฑะหนาขึ้น ลูกอัณฑะยกตัวหนาขึ้น
-ฝ่ายหญิง  เต้านมมีเลือดคั่งมากขึ้น ขนาดเต้านมโตขึ้น หัวนมลุกชันขึ้น ส่วนอวัยวะเพศมีการเปลี่ยนแปลง คือ แคมเล็กขยายโตขึ้น ช่องคลอดมีน้ำเมือกออกมา มดลูกยกตัวสูงขึ้น 
ระยะนี้มีความสำคัญมากในชีวิตเพศสัมพันธ์ เพราะเป็นช่วงเวลาที่แตกต่างกันอย่างมาก อาจใช้เวลาไม่ถึงนาทีจนถึงหลายชั่วโมง ถ้าคู่รักสามารถมีความรักกันได้นานในช่วงนี้ จะเป็นอะไรที่วิเศษมาก แต่ถ้าให้ความสำคัญน้อย แต่ไปให้ความสำคัญของจุดสุดยอดอย่างเดียว ก็จะทำให้ความรักความผูกพันไม่มีความสมบูรณ์เท่าที่ควร ความหมายของ make love น่าจะเป็นช่วงนี้นั้นเอง

2.ระยะกระสัน

          เป็นระยะที่มีความเสียวทางเพศสูงคงที่ และพร้อมจะถึงจุดสุดยอด ฝ่ายหญิงมีความพร้อมที่ต้องการให้ฝ่ายชายสอดอวัยวะเพศแล้ว และฝ่ายชายก็มีความต้องการเช่นกัน ระยะนี้เป็นระยะสั้นไม่เกิน 3 นาที  
-ฝ่ายหญิง  ช่องคลอดส่วนนอก ( 1 ส่วน 3 )หดรัดตัวแคบลง ช่องคลอดส่วนบนยืดยาวขึ้น ต่อมปากช่องคลอดสร้างน้ำเมือกออกมา เพื่อช่วยหล่อลื่น
-ฝ่ายชาย  องคชาตแข็งตัวเต็มที่ มีน้ำเมือกใสไหลเยิ้มออกมาจากปลายอวัยวะเพศ ซึ่งสร้างจากต่อมสร้างเมือก เพื่อช่วยหล่อลื่นเช่นกัน
            ปัญหาของการมีเพศสัมพันธ์ในช่วงนี้ คือ ฝ่ายชายมาถึงระยะนี้เร็วกว่าฝ่ายหญิง ขณะที่ฝ่ายหญิงใช้เวลานานกว่าที่จะมาถึงระยะกระสัน  ดังนั้นถ้าฝ่ายชายสอดใส่องคชาตเร็ว ฝ่ายหญิงอาจเจ็บถ้าน้ำหล่อลื่นยังไม่มีเพียงพอ  และทำให้ฝ่ายหญิงมีโอกาสถึงจุดสุดยอดยากขึ้น

3.ระยะจุดสุดยอด 

          เป็นระยะที่มีความรู้สึกทางเพศขึ้นจุดสุดยอด มีการเกร็งกระตุกของกล้ามเนื้อทั่วร่างกาย ครั้งละ 1-2 วินาที จำนวน 1-5 ครั้ง แต่จะมีความแรงมากที่สุดในครั้งแรก

          ในหญิง  มีการบีบรัดตัวของช่องคลอดส่วนนอก ช่องทวารหนัก และมดลูก
          ในชาย   มีการบีบรัดตัวของท่อปัสสาวะ ท่อนำเชื้อ ต่อมลูกหมาก ต่อมอื่นๆ และทวารหนัก

          ในระยะจุดสุดยอด ที่มีความรู้สึกพอใจ และมีความสุขนี้ เกิดจากความรู้สึกในสมอง ซึ่งยังไม่มีการอธิบายชัดเจนว่ามีกลไกอย่างไร

          ความสำคัญของระยะนี้คือ ฝ่ายชายนั้นส่วนมากสามารถถึงจุดสุดยอดเกือบร้อยทั้งร้อย ไม่ว่าในสภาวะใดๆ แต่ในฝ่ายหญิงนั้น ถ้าไม่มีการกระตุ้นความรู้สึกทางเพศจนถึงระยะกระสัน และฝ่ายชายถึงจุดสุดยอดเร็วเกินไป ก็จะทำให้ฝ่ายหญิงไม่สามารถถึงจุดสุดยอดได้ ดังนั้นฝ่ายชายควรทราบว่า ฝ่ายหญิงถึงจุดสุดยอดหรือไม่ ซึ่งสามารถทราบได้จากการแสดงออกหรือถามฝ่ายหญิงโดยตรง ถ้าฝ่ายหญิงยังไม่ถึงจุดสุดยอด ฝ่ายชายยังสามารถขยับอวัยวะเพศร่วมเพศต่อไปได้อีกระยะหนึ่ง เพราะอวัยวะเพศชายยังแข็งพอที่ยังใช้งานได้  ยกเว้นคู่รักใช้การหลั่งข้างนอกเป็นวิธีคุมกำเนิด

          ในกรณีที่อวัยวะเพศอ่อนตัวไม่สามารถร่วมพศต่อได้ เช่น ใช้นิ้วกระตุ้นปุ่มกระสันหรือสอดใส่กระตุ้นในช่องคลอด หรือไม่ก้อรอให้ฝ่ายชายพ้นระยะพักฟื้นแล้ว เริ่มการกระตุ้นอารมณ์ทางเพศในรอบใหม่ ซึ่งใช้เวลาอย่างน้อย 5- 10 นาที การร่วมเพศรอบที่ 2 ฝ่ายชายจะมีควมอดทนในระยะกระสันได้นานกว่าครั้งแรก

        ในหญิงสามารถถึงจุดสุดยอดหลายครั้งได้ ถ้าฝ่ายชายไม่ถึงจุดสุดยอดเร็วเกินไป  ส่วนฝ่ายชายไม่สามารถเกิดการถึงจุดสุดยอดหลายครั้ง

4.ระยะฟื้นตัว

          ร่างกายกลับสู่สภาพปกติ ทั้งอวัยวะเพศ เต้านม และระบบหัวใจหลอดเลือด ในหญิงที่ไม่ถึงจุดสุดยอดจะไม่มีการบีบขับเลือดที่คั่งในอุ้งเชิงกราน ทำให้ระยะฟื้นตัวช้า ทำให้รู้สึกไม่สบายที่ที่บริเวณท้องน้อย ซึ่งอาจทำให้อารมณ์ค้างได้



หน่วยวิจัยอนามัยการเจริญพันธุ์และงานวางแผนครอบครัว
ภาควิชาสูติศาสตร์นรีเวชวิทยา
คณะแพทย์ศิริราชพยาบาล
โทรศัพท์ 02-4194736-7 โทรสาร 02-4129868




วันอาทิตย์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2556

คำนำหนังสือ การตรวจสุขภาพก่อนสมรส

คำนำ

การสมรสหรือการอยู่ร่วมกัน เป็นช่วงหนึ่งของชีวิตที่มีความสำคัญมาก ในอดีตคู่สมรสไม่ทราบว่า สิ่งที่เกิดขึ้นภายหลังการสมรส และภายหลังการตั้งครรภ์ มีอะไรบ้างที่ควรดูแลเป็นพิเศษ แต่ปัจจุบันคู่สมรสได้รับทราบความรู้ต่างๆมากขึ้น แต่ยังไม่ทราบทั้งหมด และไม่เข้าใจรายละเอียดเพียงพอ คู่สมรสจึงมีความต้องการความรู้เกี่ยวกับการอยู่ร่วมกัน และการตั้งครรภ์

หนังสือความรู้ก่อนสมรสนี้ ได้จัดทำโดยคณาจารย์หน่วยวิจัยอนามัยการเจริญพันธุ์และงานวางแผนครอบครัว ภาควิชาสูติศาสตร์นรีเวชวิทยา อาจารย์หน่วยโลหิตวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ และอาจารย์ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล

หนังสือเล่มนี้คงเป็นประโยชน์แก่คู่สมรสในการเตรียมตัวในการสร้างครอบครัวที่มีความสุขทั้งกายและใจเป็นอย่างยิ่ง

ขอขอบพระคุณ ศาสตราจารย์คลินิกแพทย์หญิงมานี ปิยะอนันต์และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)เป็นอย่างยิ่งที่ให้การสนับสนุนในการจัดพิมพ์หนังสือ ผู้ช่วยศาสตราจารย์นายแพทย์ประภัทร วานิชพงษ์พันธุ์ที่ช่วยกรุณาออกแบบปกหน้าปกหลัง และคุณณัฎฐณิชา ช่วงสันเทียะ ที่กรุณาช่วยงานจัดพิมพ์หนังสือเล่มนี้

รองศาสตราจารย์นายแพทย์สุรศักดิ์ อังสุวัฒนา
หัวหน้าหน่วยวิจัยอนามัยการเจริญพันธุ์และะงานวางแผนครอบครัว
ภาควิชาสูติศาสตร์นรีเวชวิทยา คณะแพทย์ศิริราชพยาบาล
มหาวิทยาลัยมหิดล
โทรศัพท์ 02-4194736-7

วันเสาร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2556

การตรวจสุขภาพก่อนสมรส 2

การตรวจสุขภาพก่อนสมรส 2


รศ.นพ.สุรศักดิ์ อังสุวัฒนา
ผศ.นพ.มานพชัย ธรรมคันโธ

การให้คำปรึกษา

1.ผลเลือด

>> กรุ๊ปเลือด   ถ้ากรุ๊ปเลือดฝ่ายหญิงเป็น Rh ลบ ถือว่า ผิกปกติ มารดาอาจถูกกระตุ้นให้สร้างภูมิต้านทานต่อกรุ๊ป Rh ถ้าทารกในครรภ์แรกมีกรุ๊ป Rh บวก ซึ่งภูมิต้านทานนี้จะเพิ่มสูงขึ้นในครรภ์ที่ 2 ถ้าทารกในครรภ์มีกรุ๊ป Rh บวก และภูมิต้านทานนี้จะผ่านไปทำลายเม็ดเลือดแดงของทารกในครรภ์ ทำให้เกิดภาวะโลหิตจางอย่างรุนแรงจนทำให้ทารกหัวใจวายในครรภ์และเสียชีวิตได้
    การรักษา คือ การป้องกันไม่ให้เกิดการกระตุ้นภูมิต้านทานต่อกรุ๊ป Rh ในครรภ์แรก โดยการฉีดยาป้องกัน 2 ครั้ง คือ ขณะตั้งครรภ์ 7 เดือน และ ภายหลังคลอดทันที

>> ชนิดของฮีโมโกบิน ถ้าผิดปกติทั้ง 2 ฝ่าย จะต้องพิจารณาว่า บุตรมีโอกาสเป็นโรคเลือดชนิดรุนแรงหรือไม่ ถ้ามีโอกาสก็ต้องตรวจทารกในครรภ์ โดยการเจาะเลือดทารกหรือเนื้อรกมาตรวจวินิจฉัย

>>ผลไวรัสตับอักเสบ บี ถ้าพบว่า ฝ่ายใดมีเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี โดยที่อีกฝ่ายไม่มีภูมิต้านทานก็ต้องฉีดวัคซีนตับอักเสบ บี ทั้งหมด 3 เข็ม ใช้เวลา 6 เดือน  และขณะเดียวกันต้องป้องกันไม่ให้ติดเชื้อตับอักเสบ บี ทางเพศสัมพันธ์เป็นเวลา 6 - 7 เดือน

>>ผลโรคซิฟิลิส ถ้าพบว่า เป็นโรคนี้ ก็ต้องให้การรักษาให้หายก่อน ซึ่งใช้เวลาประมาณ 3 เดือน ขณะเดียวกันต้องป้องกันไม่ให้ติดเชื้อซิฟิลิสทางเพศสัมพันธ์เป็นเวลา 3 เดือน

>>ผลโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง  ถ้าพบว่า มีเชื้อนี้ ไม่ต้องกลัวเสีบชีวิตเพราะปัจจุบันสามารถรักษาได้ดี และสามารถมีชีวิตได้เป็นปกติ แต่ต้องกินยาตลอดชีวิต และป้องกันไม่ให้ติดต่อทางเพศสัมพันธ์โดยการใช้ถุงยางอนามัยคุมกำเนิดอย่างเคร่งครัด

>>ผลภูมิต้านทานต่อหัดเยอรมัน ถ้าไม่มีภูมิต้านทานควรฉีดวัคซีนหัดเยอรมัน 1 เข็ม และไม่ควรตั้งครรภ์ภายหลังฉีด 3 เดือน


2.การคุมกำเนิด

คู่รักฝ่ายหญิงที่อายุมากกว่า 35 ปี ถ้าอยากมีบุตรอาจไม่จำเป็นต้องคุมกำเนิดหรือคุมในระยะสั้นๆส่วนคู่รักฝ่ายหญิงที่มีอายุน้อยกว่า 35 ปี แนะนำให้คุมกำเนิดอย่างน้อย 1 ปี เพื่อให้คู่รักปรับตัวเข้าหากัน ถ้าทั้งคู่ไม่เคยอยู่ด้วยกันมาก่อน นอกจากนี้ให้คู่รักได้มีโอกาสใช้ชีวิตคู่ให้คุ้มค่า เพราะถ้าตั้งครรภ์เมื่อไหร่ชีวิตคู่ก็จะหมดไป
วิธีการคุมกำเนิดที่แนะนำคือ ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดรวมที่มีฮอร์โมนต่ำ โดนเรื่อมยารอบระดูก่อนวันแต่งงาน 1 เดือน ในกรณีที่คู่รักจะมีประจำเดือนช่วงวันแต่ึ้งงานและช่วงดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ ก็สามารถเลื่อนประจำเดือนได้โดยการให้รับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดต่อโดยไม่ต้องหยุด 7 วัน


3.เพศศึกษา

ในคู่ที่ไม่เคยมีเพศสัมพพันธ์มาก่อน แนะนำให้ซื้อหนังสือเพศศึกษาที่มีขายแพร่หลายมาศึกษา และเน้นให้ฝ่ายชาย ทราบว่า ฝ่ายหญิงควรมีความพร้อมก่อนที่ฝ่ายชายจะมีการร่วมเพศจริง .ซึ่งฝ่ายชายควรเล้าโลมฝ่ายหญิงอย่างน้อย 20-30 นาที นอกจากนี้ควรจะพูดเปิดเผยกันได้ในเรื่องเเพศสัมพันธ์ ส่วนในรายที่มีเพศสัมพันธ์กันแล้วก็สอบถามว่ามีปัญหาหรือไม่


4.การเตรียมตัวก่อนตั้งครรภ์ 

มีการแนะนำให้กินวิตามินโฟลิค ( folic acid ) ก่อนการตั้งครรภ์อย่างน้อย 1 เดือน และอีก 3 เดือนหลังการตั้งครรภ์ เพื่อลดโอกาสเกิดความผิดปกติทางระบบประสาท ( neural tube defects ) ซึ่งไม่ได้พบบ่อย


5.ปัญหาอื่นๆ

>>หญิงที่อาจมีลูกยาก ได้แก่ หญิงที่มีรอบประจำเดือนไม่ปกติ หรือมีประจำเดือนมาก และหญิงอายุมากกว่า 35 ปี รีบมาปรึกษาตั้งแต่เนิ่นๆ
>>หญิงที่อาจเจ็บเวลามีเพศสัมพันธ์ ได้แก่ หญิงที่ปวดประจำเดือนมากและราวไปทวารหนัก ถ้ามีปัญหาให้กลับมาปรึกษาใหม่



หน่วยอนามัยการเจริญพันธุ์และงานวางแผนครอบครัว
ภาควิชาสูติศาสตร์นรีเวชวิทยา 
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
โทรศัพท์ 02-4113011 02-4194736-7
# ในวัน - เวลาราชการเท่านั้นค่ะ #


วันศุกร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2556

การตรวจสุขภาพก่อนสมรส

การตรวจสุขภาพก่อนสมรส

รศ.นพ.สุรศักดิ์ อังสุวัฒนา
ผศ.นพ.มานพชัย ธรรมคันโธ

การวางแผนครอบครัว นั้น มิใช่การวางแผนครอบครัวหรือการคุมกำเนิดเพียงอย่างเดียว แต่มีการให้คำแนะนำในหลายๆด้าน แพทย์ที่ให้การดูแลอาจเป็นสูติ-นรีแพทย์ หรือแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวคู่รักที่มาปรึกษาก่อนสมรส บางคู่มีเพศสัมพันธ์มาก่อนแล้ว และบางคู่แต่งงานมาแล้ว แต่ต้องการตรวจก่อนปล่อยให้มีครรภ์ ซึ่งการดูแลก็ไม่แตกต่างกัน

วัตถุประสงค์
1.ตรวจสุขภาพทั่วไป
2.ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ได้แก่ โรคซิฟิริส โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง และไวรัสตับอักเสบบี
3.ตรวจหาความเสี่ยงของโรคธาลัสซีเมีย (เลือดจางกรรมพันธุ์) ไปสู่บุตร
4.ป้องกันโรคหัดเยอรมันระหว่างตั้งครรภ์
5.ให้ความรู้ทางเพศศึกษาและค้นหาปัญหา
6.หาปัจจัยที่อาจมีผลต่อการเจริญพันธุ์และต่อการตั้งครรภ์
7.แนะนำการปรับตัวในการมีชีวิตคู่

แผนการตรวจสุขภาพก่อนสมรสของแต่ละโรงพยาบาลหรือคลินิกอาจมีความแตกต่างกันบ้าง แต่การตรวจทางเลือดจะคล้ายเคียงกัน

การซักประวัติ
การซักประวัติโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ การตั้งครรภ์ การทำแท้ง และเพศสัมพันธ์กับผู้อื่น มีประโยชน์มากในการให้คำปรึกษา ยกเว้นคู่รักไม่ยอมเปิดเผยความจริง

การตรวจร่างกาย
ตรวจชีพจร ความดันโลหิต และตรวจร่างกายทั่วไปก็เพียงพอ ไม่มีความจำเป็นต้องตรวจภายใน ยกเว้นคู่รักที่มีเพศสัมพันธ์กันมานานแล้ว และยินยอมให้ตรวจ


การตรวจเลือด
ก่อนการเจาะเลือด ต้องให้คำปรึกษาสำหรับโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องและต้องให้ลงนามในใบยินยอมที่จะบอกผลเลือดที่ผิดปกติต่อหน้าทั้ง 2 ฝ่าย ที่โรงพยาบาลศิริราชส่งตรวจหา
1.กรุ๊ปเลือด ABO และ Rh
2.ชนิดของฮีโมโกบิน ( Hemoglobin typing ) เพื่อตรวจโรคเลือดธาลัสซีเมีย
3.เชื้อไวรัสตับอักเสบ ( HBsAg ) และภูมิต้านทานไวรัสตับอักเสบบี ( HBsAb )
4.โรคซิฟิริส ( VDRL )
5.โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง ( Anti HIV )
6.ภูมิต้านทานต่อหัดเยอรมัน ( Rubella Ig G )



หน่วยอนามัยการเจริญพันธุ์และงานวางแผนครอบครัว
ภาควิชาสูติศาสตร์นรีเวชวิทยา 
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
โทรศัพท์ 02-4113011 02-4194736-7


ติดตามการตรวจสุขภาพก่อนสมรส  2 >>>>